ประวัติกล้วย
ในเอกสารโบราณกล่าวว่า กล้วยเป็นผลไม้ของชาวอินเดีย พบมีอยู่มากในแถบเอเชียตอนใต้ โดยเฉพาะทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย พม่า เขมร จีนตอนใต้ หมู่เกาะอินโดนีเซีย เกาะบอร์เนียว ฟิลิปปินส์ และไต้หวัน กล้วยในประเทศที่กล่าวถึงนั้น เป็นกล้วยป่าที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งต่อมาเมื่อมนุษย์สังเกตเห็นว่าสัตว์ต่างๆ กินกล้วยเป็นอาหารได้ มนุษย์จึงลองกินกล้วยดู และเมื่อเห็นว่ากล้วยกินเป็นอาหารได้ มนุษย์จึงเริ่มรู้จักวิธีการขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด หน่อ ติดตัวไปยังสถานที่ที่อพยพไป ทำให้กล้วยแพร่หลายไปยังถิ่นต่างๆ มากยิ่งขึ้น จนมีผู้กล่าวว่า กล้วยเป็นอาหารชนิดแรกของมนุษย์ และเป็นพืชชนิดแรกที่มีการปลูกเลี้ยงไว้ตามบ้าน
ในพระพุทธศาสนา มีการวาดภาพต้นกล้วยในงานจิตรกรรม ในภาพวาดเป็นการนำกล้วยไปสักการะพระเจ้ากาละ
จีนโบราณมีการบันทึกไว้ว่า มีกล้วยอยู่ 12 ชนิด ได้แก่ ปารู กัน-เชียว ยาเชียว ปาเชียว นันเชียว เทียนเชียว ชีเชียว ชุงเชียว เมเจนเชียว โปโชวเชียว ยังเชียวเชียว ยูฟูเชียว กล้วยเหล่านี้ปลูกมากที่กวางตุ้ง ฟูเกียง ฯลฯ
กล้วยมีเส้นทางการเผยแพร่ราวกับนิยาย เมื่อประมาณ ปี ค.ศ.200 บริเวณเมดิเตอร์เรเนียนยังไม่มีการปลูกกล้วย จนถึง ค.ศ.650 เมื่อชาวอาหรับเดินทางติดต่อค้าขายกับแอฟริกา พวกอาหรับได้นำกล้วยมาเผยแพร่ที่แอฟริกาด้วย
ในราวศตวรรษที่ 15 เมื่อชาวยุโรปเดินทางไปยังดินแดนต่างๆ เพื่อ การสำรวจและแสวงหาดินแดนใหม่ ณ เวลานั้นปรากฏว่า แถบชายฝั่งของแอฟริกาตะวันตก ประชาชนนิยมปลูกกล้วยกันอย่างแพร่หลาย
การเดินทางของกล้วยมิได้หยุดอยู่แค่นั้น เพราะในปี ค.ศ. 1400 ชาวโปรตุเกสซึ่งเป็นนักเดินเรือผู้เก่งกล้าสามารถได้นำกล้วยไปยังหมู่เกาะคานารีด้วย
ปัจจุบันหมู่เกาะคานารีเป็นแหล่งปลูกกล้วยที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก หมู่เกาะนี้ในเวลาต่อมาได้รับการยกย่องว่าเป็นเกาะประวัติศาสตร์ของการแพร่พันธุ์กล้วยสู่โลกใหม่
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้เคยมีการสำรวจสายพันธุ์กล้วยในประเทศไทย พบว่ามีสายพันธุ์กล้วยในประเทศไทยมากถึง 323 สายพันธุ์
ความเป็นมาของกล้วยในประเทศไทย
ในตอนแรกได้กล่าวไปบ้างแล้วว่า กล้วยเป็นพืชเก่าแก่ที่อยู่คู่กับคนไทยมานานแสนนาน และโดยทางประวัติศาสตร์แล้ว ประเทศไทยของเราเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งถือว่าเป็นถิ่นกำเนิดสำคัญของกล้วยป่าขึ้นชุกชุม
กล้วยที่ถือว่าเป็นพันธุ์ดั้งเดิมของไทย เป็นกล้วยที่ขึ้นอยู่ในบริเวณภาคใต้ของไทย ได้แก่ กล้วยไข่ทองร่วง กล้วยเล็บมือนาง เป็นต้น
ประเทศไทยมีกล้วยหลากหลายพันธุ์ และสันนิฐานกันว่า คนไทยเป็นชนชาติที่อพยพมาจากจีนตอนใต้ ซึ่งจีนตอนใต้นี้มีอาณาเขตอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย ดังนั้นการอพยพของคนไทยจึงเป็นไปได้ว่าได้นำพันธุ์กล้วยที่เป็นสายพันธุ์จากอินเดียและจีนนำติดตัวมาด้วย ทั้งนั้นเพราะกล้วยเป็นพืชที่ปลูกง่ายให้ผลเร็ว เหมาะสำหรับนำติดตัวปลูกไว้เป็นอาหารยามขาดแคลน
กล้วยเป็นผลไม้ยอดนิยมจึงรู้จักในคนหมู่มาก ซึ่งแน่นอนว่า กล้วยต้องเป็นที่โปรดปรานของใครหลายคน เพราะกล้วยนั้นจะมีรสหอมหวานอร่อย มีประโยชน์มากมาย
นอกจากกล้วยจะเป็นที่รู้จักกันในคนหมู่มากแล้วยังมีความเป็นมาที่ยาวนานโดยกล้วยนั้นมีถิ่นกำเนิดในเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีวิวัฒนาการกว่า 50 ล้านปีและได้แพร่พันธุ์ไปในสถานที่ต่างๆหลายๆที่ด้วยกัน ในปัจจุบันนี้กล้วยได้มีมากที่สุดใน
ประเทศอินเดียและได้ลงในหนังสืออาหรับว่า“กล้วเป็นผลไม้ของชาวอินเดีย”ด้วย
ส่วนประกอบต่างๆของกล้วย ได้แก่
ลำต้น ส่วนของลำต้นที่อยู่ใต้ดิน จะเรียกว่าหัว หรือ เหง้า ที่หัวจะมีตา และเจริญเติบโตเป็น หน่อ
ดอก จะมีลักษณะเป็นช่อๆ ในแต่ละช่อจะมีกลีบประดับ หรือกาบปลี จะมีสีม่วง กลุ่มดอกเพศเมียไว้อยู่ที่โคน และกลุ่มดอกเพศผู้อยู่ที่ปลายเป็นส่วนที่เรา เรียกว่าหัวปลี
ผล เกิดจากดอกเพศเมียที่อยู่ที่โคน กลุ่มดอกเพศเมีย 1 กลุ่ม จะได้ 1หวี แต่ก็ต้องแล้วแต่พันธุ์ด้วย
เมล็ด มีลักษณะเม็ดกลมเล็ก บางพันธุ์จะมีขนาดเล็กเปลือกหนา แข็ง มีสีดำ
ราก จะเป็นระบบรากฝอย ลักษณะเป็นแนวดิ่ง
ใบ จะมีความกว้างประมาณ 70-90 เซนติเมตร และยาวประมาณ 1.7-2.5 เมตร ปลายใบมีลักษณะมน รูปใบขอบขนาน และมีสีเขียว
กล้วยมีหลากหลายพันธุ์ด้วยกัน คนจึงคิดว่ายุ่งยาก และสามารถจดได้ยาก จึงนำมาจัดเป็นกลุ่ม 5 กลุ่ม ได้แก่
กล้วยป่าออร์นาตา มักจะปลูกตามแนว ตอนเหนือของไทยจะเรียกกล้วยบัวหรือ กล้วยป่าก็ได้
กล้วยป่าอะคิวมินาตา จะมีแพร่หลายทั่วประเทศไทย
กล้วยในสายพันธุ์อะคิวมินาตา คัลทิปาร์จะมีหลากชนิด เช่น กล้วยเล็บมือนาง
กล้วยป่าบาลบิเซียน่า หรือกล้วยตานี กล้วยพองลา กล้วยป่าจะเรียกกันตามท้องถิ่น
กล้วยลูกผสมอะคิวมินาตากับบาลบิเซียน่าจะมีหลายชนิดจะอยู่มากในภาคใต้ของไทย
ส่วนต่างๆของกล้วยนั้นยังจะสามารถนำมารับประทานได้ทั้งสิ้นและจะให้ประโยชน์ สามารถบรรเทาโรคต่างๆได้ด้วย ในแต่ละส่วนนั้นจะให้ประโยชน์ ได้แก่
ผลกล้วยสุก ช่วยการล่อลื่น เป็นยาระบาย
ผลกล้วยดิบ เป็นยาสมาน
ราก ช่วยขับน้ำเหลืองที่เสียและเป็นยาระบาย
น้ำคั้นจากต้น กันผมร่วง ทำให้ผลหนาขึ้น
น้ำจากก้านใบ แก้โรคท้องเสีย แก้บิด
ช่อดอก รักษาโรคเบาหวาน
แป้ง ช่วยลดกรด
หยวกกล้วย ล้างทางเดินอาหาร
กล้วยนั้นยังสามารถนำมาแปรรูปเป็น กล้วยตาก กล้วยเชื่อม กล้วยแขก ยำหัวปลี กล้วยทอดกรอบ กล้วยบวชชี กล้วยแดดเดียว แกงเลียงหัวปลี เป็นต้น
กล้วยมีวิวัฒนาการมานานหลายปี มีหลากหลายสายพันธุ์ ทั้งที่เรารู้จักบ้าง ไม่รู้จักบ้าง หลายๆคนคิดว่ากล้วยสามารถนำมาใช้ได้เฉพาะผลเท่านั้น แต่ไม่ใช่เลย เราสามารถนำส่วนต่างๆของกล้วยมาทำประโยชน์ได้มากมาย ทั้งในพิธีกรรมต่างๆ และนำมารับประทาน จึงกล่าวได้ว่า กล้วยเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง
การขยายพันธุ์กล้วย
กล้วยเป็นพืชที่ขยายพันธุ์ง่าย สะดวก และไม่มีขั้นตอนยุ่งยากซับซ้อนแต่อย่างใด
เดิมทีเดียวการขยายพันธุ์กล้วยทำได้ 2 วิธี ได้แก่
1.การขยายพันธุ์โดยเมล็ด
2.การขยายพันธุ์โดยหน่อ
1.การขยายพันธุ์โดยเมล็ด
เป็นวิธีธรรมชาติดั้งเดิมของการขยายพันธุ์กล้วยที่มีเมล็ดมากอย่างกล้วยตานีและกล้วยน้ำว้าบางพันธุ์
การขยายพันธุ์โดยเมล็ดนี้ แต่เดิมชาวสวนจะนำเมล็ดแก่จากผลกล้วยที่แก่เต็มที่มาเพาะ แต่เนื่องจากเมล็ดกล้วยมีเปลือกที่หนามากทำให้การเพาะเมล็ดต้องใช้เวลานานตั้งแต่ 1-4 เดือน จึงจะงอกให้เห็นต้นอ่อน ทำให้การขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดค่อยๆ เสื่อมความนิยมลงไปจนเกือบไม่มีชาวสวนคนใดใช้วิธีขยายพันธุ์กล้วยโดยวิธีการเพาะเมล็ดอีกแล้ว นอกจากนี้นักวิชาการที่เพาะเมล็ดเพื่อการศึกษาค้นคว้า
2.การขยายพันธุ์โดยใช้หน่อ
ใช้หน่ออ่อน (Peepers)หน่ออ่อน ในนี้หมายถึง หน่อที่มีอายุน้อยและมีขนาดเล็ก ลักษณะของหน่อ ใบเป็นใบเกล็ด อยู่เหนือผิวดิน (ปัจจุบันวิทยาการเจริญก้าวหน้า พบว่า หน่ออ่อนไม่เหมาะสำหรับการขยายพันธุ์)
ใช้หน่อใบดาบ (Sword Suckers)หน่อใบดาบ หมายถึง หน่อกล้วยที่เกิดจากตาของเหง้าหน่อใบนี้ลักษณะใบจะเรียวเล็กและยาวเหมือนมีดดาบ (บางคนเรียกหน่อใบแคระ) หน่อมีความสูงประมาณ 75-80 เซนติเมตร มีเหง้าติดอยู่เหมาะสำหรับการขยายพันธุ์ เพราะจะเจริญเติบโตแข็งแรงและให้ผลผลิตดี
ใช้หน่อแก่ (Median Suckers)
หน่อแก่ หมายถึง หน่อที่เจริญเติบโตมาจากหน่อใบดาบใบจะแผ่กว้าง
วิธีดูว่าหน่อกล้วยใดเป็นหน่อแกให้นับอายุ ในกรณีนี้หน่อแก่ หมายถึง หน่อที่มีอายุประมาณ 5-8 เดือน
ใช้หน่อใบกว้าง (Water Suckers)
หน่อใบกว้าง หมายถึง หน่อที่เกิดจากตาของเหง้าแก่หรือจากเหง้าที่ไม่สมบูรณ์ ใบจะแผ่กว้างขณะที่หน่อยังมีอายุน้อย ซึ่งหน่อใบกว้างจะเกิดก็ต่อเมื่อต้นแม่ออกเครือและตัดเครือแล้ว หน่อชนิดนี้จริงๆแล้วไม่เหมาะที่จะนำไปขยายพันธุ์ เพราะจะให้ผลขนาดเล็กลง
ขนมกล้วย

ส่วนผสม (ได้ 35 ถ้วยตะไลเล็ก)
กล้วยน้ำว้า 2 ถ้วย
แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย
แป้งข้าวเหนียว 4 ช้อนโต๊ะ
แป้งมัน 8 ช้อนโต๊ะ
กะทิข้นๆ 1 ถ้วย
(มะพร้าว 400 กรัม ใส่น้ำ 1/2 ถ้วย)น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
มะพร้าวทึนทึกขูด 1/4 ถ้วย
(สำหรับใส่ตัวขนม)มะพร้าวทึนทึกขูด 3/4 ถ้วย
(สำหรับโรยหน้าขนม)
เกลือ 1/4 ช้อนชา
กล้วยน้ำว้า 2 ถ้วย
แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย
แป้งข้าวเหนียว 4 ช้อนโต๊ะ
แป้งมัน 8 ช้อนโต๊ะ
กะทิข้นๆ 1 ถ้วย
(มะพร้าว 400 กรัม ใส่น้ำ 1/2 ถ้วย)น้ำตาลทราย 1 ถ้วย
เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
มะพร้าวทึนทึกขูด 1/4 ถ้วย
(สำหรับใส่ตัวขนม)มะพร้าวทึนทึกขูด 3/4 ถ้วย
(สำหรับโรยหน้าขนม)
เกลือ 1/4 ช้อนชา
วิธีทำ1.ปอกกล้วย หั่นหยาบๆ แล้วตวง นำไปบด
2.ผสมแป้งทั้ง 3 ชนิดลงในกล้วยเคล้าให้เข้ากันใส่น้ำตาล เกลือ นวด 10 นาที
3.คั้นกะทิข้นๆ ค่อยๆ ใส่ในกล้วยนวด 20 นาที นวดให้เหนียว ใส่มะพร้าว
4.ตักใส่ถ้วยตะไล ถ้วยละ 20 กรัม โรยด้วยมะพร้าวทึนทึก นำไปนึ่ง 30 นาที
ลักษณะที่ดี
1. หวาน มัน
2. เหนียวนุ่ม ไม่แข็งกระด้าง
3. ถ้าใช้ใบตองห่อ รูปทรงการห่อจะต้องห่อทรงเตี้ยกว่าขนมสอดไส้
เคล็ดที่ไม่ลับ
การนวด ถ้ามีเครื่องปั่นน้ำผลไม้ก็
สามารถใช้ปั่นด้วยเครื่องได้ โดยปั่นกล้วยก่อนแล้วใส่แป้ง น้ำตาล กะทิ
ปั่นต่ออีก 2 นาที หยุด 1/2 นาที ปั่นเช่นนี้ 4 ครั้งแล้วเทใส่ภาชนะผสม
คนอีก 20 นาที ดูลักษณะเวลาคนจะมีความข้นขึ้น จะทำให้ขนมกล้วยเหนียว อร่อย
2.ควรเลือกกล้วยสวนจะหวานกว่า
3.ควรคั้นกะทิให้ข้นๆ
4.การขูดมะพร้าวทึนทึกควรขูดให้เส้นเล็กละเอียด
5.ควรเลือกกล้วยที่สุกงอมจะได้รสหวาน ไม่ฝาด
6.การนึ่งให้นานจะเพิ่มความเหนียว และสีจะเข้มขึ้น
ประเพณีสารทไทยกล้วยไข่เมืองกำแพงประวัติความเป็นมา จังหวัดกำแพงเพชรเป็นจังหวัดที่นิยมปลูก กล้วยไข่กันมาก จนกลายเป็นพืชผลเศรษฐกิจทำรายได้เข้าจังหวัดปี หนึ่งๆ ประมาณ 100 ล้านบาท ทำให้ “กล้วยไข่” ที่ชาวสวนทั่วไป มองเป็นผลไม้พื้นๆ กลายเป็นของมีราคาขึ้น มาทันที และทำให้กำ แพงเพชรเป็นเมืองที่มีฉายาว่า “เมืองกล้วยไข่” โด่งดังไปทั่วประ เทศ แรกเริ่มทีเดียวนั้นเล่ากันว่าเมื่อ 60 ปีมาแล้ว ได้มีการปลูกสวน กล้วยไข่กันก่อนที่บ้านเกาะตาล ตำบลแสนตอง อำเภอขาณุลักษบุรี โดยชาวจีนชื่อนายหะคึ้ง แซ่เล้า นำพันธุ์กล้วยไข่จากนครสวรรค์มา ปลูก ต่อมาได้มีการขยายพันธุ์ออกไปตามท้องที่อำเภอต่างๆ ในที่สุด ไปปลูกมากในเขตอำเภอเมือง เนื่องจากมีสภาพดินฟ้าอากาศเอื้ออำ นวยในการเพาะปลูกถึงขั้นนี้จึงได้มีการรวมกลุ่มเพื่อขยายตลาดให้กว้างเพียงพอต่อผลผลิตทั้งตลาดในประ
เทศและต่างประเทศได้ให้ความสนใจในกล้วยไข่เมืองกำแพงเพชร1.ขนมกล้วยจะเหนียวหรือไม่ขึ้นอยู่กับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น