จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555

ก๋วยเตี๋ยวน้ำตก

นำมาจากสูตรทำำจริง 300 ชาม

เครื่องปรุง
กระดูกหมู
เอ็นหมู
เนื้อหมู
ตับ
ลูกชิ้นหมู
เลือดสด
เส้นใหญ่
เส้นเล็ก
เส้นหมี่
วุ้นเส้น
ผักบุ้ง
ถั่วงอก
ผักชีฝรั่ง
น้ำตาลกรวด ผงชูรส เกลือป่น พริกไทย เครื่องเทศ ซอส ซีอิ้วดำ ใบเตย ตามจำนานที่ต้องการ
ถั่วลิสง
พริกขี้หนูแห้ง
น้ำปลา
พริกสด
น้ำส้มสายชู
เต้าหู้ยี้แดง
น้ำตาล
น้ำพริกเผา
2
1
4
3
300
1
1.5
6
1
1
20
4
2


2
2
5
1/2
1
2
3
1/2
กก.
กก.
กก.
กก.
ลูก
กก.
กก.
กก.
ห่อใหญ่
กก.
กำ
กก.
กก.


กก.
กก.
ขวด
กก.
ขวดใหญ่
แผ่น
กก.
กก.


วิธีทำ
ใช้หม้อก๋วยเตี๋ยว ใส่น้ำตั้งให้เดือด ใส่กระดูกหมู เอ็นหมูล้างน้ำ แล้วปิดฝาทิ้งไว้ ใช้ไฟปานกลางประมาณ 1/2 ชั่วโมง ใส่น้ำตาลกรวด 2 ก้อน เกลือป่น 1 ห่อเล็ก ซอสปรุงรส 1/3 ขวด ใบเตยล้างน้ำสะอาด 20 ใบมัดรวมกัน ซีอิ้วดำ 1/2 ถ้วยตวง ต้มต่อไป 1/2 ชั่วโมง ต้มจนได้น้ำซุปสำหรับทำก๋วยเตี๋ยวได้
นำเอ็นหมูที่ต้มจนเปื่อย มาผึ่งไว้ให้เย็น แล้วหั่นเป็นก้อน หั่นเนื้อหมูและตับเป็นชิ้นบาง ๆ แล้วลวกน้ำเดือดพอสุก ผักชีฝรั่งล้างน้ำหั่นฝอย ผักบุ้งหั่นเป็นท่อน ๆ ละ 1 นิ้วฟุต ลวกผักบุ้ง ถั่วงอก ตักใส่ชาม ลวกเส้นตามที่ลูกค้าสั่ง หมู 3 - 4 ชิ้น ตับ 2 ชิ้น ลูกชิ้น 1 ลูก เอ็นหมู 2 ชิ้น โรยหน้าด้วยผักชีหั่นฝอย ใช้ช้อนตักเลือดหมู 1/2 ช้อนชา ตักน้ำซุปในหม้อราดลงในชาม ใส่น้ำซุปพอท่วม อย่าใส่น้ำซุปมากเพราะจะไม่เข้มข้น เสิร์ฟลูกค้า รับประทานกับ น้ำส้มพริกตำ น้ำตาลทราย พริกป่น ถั่วลิสงคั่วใหม่ ๆ โขลกหยาบ ๆ ทำทั้งใส่น้ำซุป หรือ แห้ง รับประทานกับ แคบหมู

คุณค่าทางอาหาร
ก๋วยเตี๋ยว? จัดเป็น ?ฟาสฟู๊ด? หรือ อาหารจานด่วนของไทยๆ ประเภทหนึ่ง เพราะใช้เวลาปรุงและกินไม่นาน มิหนำซ้ำยังเป็นอาหารที่คนไทยนิยมกินกันมาโดยตลอด และหากินได้ง่าย...มีขายทั่วทุกหนทุกแห่ง ราคาไม่แพงจนเกินไป มีให้เลือกมากมายหลายรสหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นเส้นเล็ก เส้นใหญ่ เส้นหมี่ บะหมี่ มีทั้งน้ำ แห้ง ต้มยำ ราดหน้า เย็นตาโฟ ฯลฯ
   ...จุดโดดเด่นของก๋วยเตี๋ยวที่นักโภชนาการยกย่อง คือ เป็นอาหารจานเดียวที่มีคุณค่าทางโภชนาการเกือบครบ 5 หมู่ เริ่มตั้งแต่เส้นก๋วยเตี๋ยวทุกประเภทจัดอยู่ในอาหารประเภทข้าว แป้งที่ให้สารอาหารคาร์โบไฮเดรต สร้างเป็นพลังงานให้กับร่างกาย ส่วนลูกชิ้น หมูสับ หรือเนื้อวัว เนื้อปลาเครื่องในสัตว์ เป็นอาหารที่ให้สารอาหารโปรตีนที่ร่างกายนำไปสร้างความเจริญเติบโตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ในก๋วยเตี๋ยวน้ำหรือแห้งอย่างน้อยก็มีต้นหอม ผักชีโรยพอได้กลิ่น ไม่พอต่อการที่จะได้ชื่อว่าได้กินผัก แต่ถ้าหากใส่ถั่วงอก หรือตำลึง ผักบุ้ง หรือคะน้า เราจะได้กินผักมากขึ้น ซึ่งเป็นอาหารที่ให้วิตามิน และแร่ธาตุที่ทำให้ร่างกายทำงานได้ตามปกติ และสร้างภูมิคุ้มกันโรค อาหารหมู่สุดท้ายที่ได้จากก๋วยเตี๋ยว คือ ไขมันที่ปรุงจากกระเทียมเจียว หรือไขมันจากสัตว์ ยิ่งถ้าเป็นผัดไทย หรือผัดซีอิ้ว จะมีปริมาณไขมันสูงมากทีเดียว
....หลังกินก๋วยเตี๋ยวไม่ว่าจะกิน 1 หรือ 2 ชาม ถ้าหากเรากินส้มสัก 1 ผล หรือมะละกอสุก
6 ? 7 คำ ตาม เพียงแค่นี้ก็ถือได้ว่ากินอาหารครบ 5 หมู่ แต่มีบางคนร้องสั่งก๋วยเตี๋ยวดังลั่นร้านว่า
?เล็กน้ำไม่งอก? หรือ สั่งราดหน้ามาแต่เขี่ยผักคะน้าไว้ขอบจานไม่กิน นั่นแสดงว่าคนเหล่านั้น พลาด
โอกาสที่จะได้กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ไปอย่างน่าเสียดาย
การกินก๋วยเตี๋ยวแบบมืออาชีพจริงๆ คือ เมื่อผู้ขายเอาชามก๋วยเตี๋ยวมาวางตรงหน้า
สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ชิมก่อน ถ้ารสชาติพอดีปาก พอดีลิ้น ก็ไม่มีความจำเป็นอื่นใดที่จะต้องไปปรุง
รสใหม่ให้เสียรส ซึ่งส่วนมากคนขายจะปรุงรสกลาง ๆ และอร่อยพอดีอยู่แล้ว คนกินก๋วยเตี๋ยวส่วนมาก
มักจะเติมเครื่องปรุงทุกชนิดที่วางขวางหน้า ไม่ได้ชิมก่อน ปรุงเสร็จกินไปคำแรกบ่นออกมาว่า ก๋วยเตี๋ยวร้านนี้ไม่ได้เรื่อง
นักโภชนาการอย่างผู้เขียน จะพยายามไม่เติมเครื่องปรุงรสใดๆ หลังจากชิมแล้ว
เพราะไม่ค่อยติดใจในรสชาติที่จัดจ้านมากนัก และมั่นใจฝีมือคนปรุง โดยเฉพาะร้านที่เรากินประจำ
แต่ที่สำคัญคือไม่อยากเสี่ยงต่อการได้รับสิ่งที่อาจเป็นพิษ หรืออันตรายต่อร่างกาย เช่น ไม่เติมน้ำปลา
เพราะไม่ต้องกินรสเค็ม ซึ่งรู้ว่ารสเดิมนำไปสู่การเป็นโรคต่างๆ เช่น ความดันโลหิตสูง ไม่เติมน้ำส้ม
เพราะไม่แน่ใจว่าเป็นน้ำส้มสายชูแท้หรือไม่ แต่ถ้าต้องการรสเปรี้ยวขอมะนาวแม่ค้า ไม่เติมน้ำตาล
เพราะไม่ชอบรสหวานในอาหารคาว และรู้ว่ากินน้ำตาลมากไปทำให้อ้วน และที่ไม่เติมถั่วลิสงป่น
และพริกป่น เพราะกลัวเชื้อราอัลฟาท๊อกซินที่เป็นสารก่อมะเร็ง
ในที่สุด ก็กินก๋วยเตี๋ยวแบบที่แม่ค้าปรุงให้เสียส่วนมาก นอกจากบางเจ้าที่รสชาติรับไม่ได้
จริงๆ จึงจะปรุงบางรส แต่มีน้อยครั้งมาก

วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554

นํ้ายาเอนกประสงค์


เตรียมนํ้าด่าง หรือนํ้าเปล่า 5 ลิตร เกลือ 1 กิโล N 70 1 กิโล

นำเกลือ 1 กิโล ใส่ลงไปในนํ้า  5 ลิตร

คนให้เกลือละลาย และทิ้งไว้ให้ตกตะกอน

แล้วนำ N70 เทใส่ลงไปในถัง

แล้วคนไปทางเดียวกันให้ N 70กลายเป็นสีขาว

หลังจากนั้นให้เอานํ้าด่างที่ผสมเกลือ ตักมาใส่ก่อน 1 แก้ว
แล้วคนให้เข้ากัน

พอคนเข้ากันแล้วก็ทยอยใส่นํ้าด่างจนกว่านํ้าด่าง 5 ลิตรหมดและแล้วก็จะได้นํ้ายาเอนกประสงค์ ที่เก็บได้นาน ถึง 1 ปี โดยที่ไม่ต้องใส่สารกันบูด
 
ทีนี้เราจะมาทำนํ้ายาล้างจานกัน

นำมะกรูดมาผ่าครึ่ง

แล้วนำไปต้มให้เดือดแล้วพักให้เย็น  แล้วก็บีบแล้วนำไปกรอง

หลังจากนั้นก็ทำนํ้ายาล้างจานด้วยอัตราส่วน  1:1
นํ้ายาเอนกประสงค์ 1 ส่วน
นํ้ามะกรูด           1 ส่วน
แล้วคนให้เข้ากัน พร้อมใช้ได้เลยค่ะ

ส่วนอันนี้เป็นนํ้ายาซักผ้า

นําเปลือกสับปะรดไปต้มให้เดือดแล้วพักให้เย็นแล้วนำไปกรอง

หลังจากนั้นก็ทำนํ้ายาซักผ้าด้วยอัดตราส่วน 1:1
นํ้ายาเอนกประสงค์  1  ส่วน
นํ้าสับปะรด          1  ส่วน
แล้วคนให้เข้ากันพร้อมใช้ได้เลยค่ะ


ทั้งนํ้ายาล้างจานและนํ้ายาซักผ้านายไม่ใส่สารกันบูดและไม่ใส่สารเคมี เพราะฉะนั้นสบายใจได้เลยว่าไม่มีาสารเคมีตกค้่างแน่นอนค่ะ

วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554

มะละกอ

มะละกอ (อังกฤษ: Papaya, คำเมือง: ᨠᩖ᩠ᩅ᩠᩶ᨿᨴᩮ᩠ᩈ) เป็นไม้ผลชนิดหนึ่ง สูงประมาณ 5-10 เมตร มีถิ่นกำเนิดในอเมริกากลาง ถูกนำเข้าสู่ประเทศไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยา ผลดิบมีสีเขียว เมื่อสุกแล้วเนื้อในจะมีสีเหลืองถึงส้ม นิยมนำมารับประทานทั้งสดและนำไปปรุงอาหาร เช่น ส้มตำ ฯลฯ หรือนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ก็ได้
มะละกอขณะออกผล
ลักษณะทั่วไป
มะละกอเป็นไม้ล้มลุก (บางครั้งอาจเข้าใจผิดว่าเป็นไม้ยืนต้น) ใบมีลักษณะเป็นใบเดี่ยว 5-9 แฉก เกาะกลุ่มอยู่ด้านบนสุดของลำต้น ภายในก้านใบและใบมียางเหนียวสีขาวอยู่ มะละกอบางต้นอาจมีดอกเพียงเพศเดียว แต่บางต้นอาจมีดอกได้ทั้งสองเพศก็ได้ ผลเป็นรูปรี อาจหนักได้ถึง 9 กิโลกรัม ผลดิบมีสีเขียว และมีน้ำยางสีขาวสะสมอยู่ที่เปลือก ส่วนผลสุก เนื้อในจะมีสีเหลืองถึงส้ม มีเมล็ดสีดำเล็ก ๆ อยู่ภายในกินไม่ได้
ประโยชน์
นอกจากการนำมะละกอไปรับประทานสด ๆ แล้ว เรายังสามารถนำไปปรุงอาหาร เช่น ส้มตำ แกงส้ม ฯลฯ หรือนำไปหมักเนื้อให้นุ่มได้อีกด้วย เพราะในมะละกอมีเอนไซม์ชนิดหนึ่งเรียกว่า พาเพน (Papain) ซึ่งสามารถนำเอนไซม์ชนิดนี้ไปใส่ในผงหมักเนื้อสำเร็จรูป บางครั้งนำไปทำเป็นยาช่วยย่อยสำหรับผู้ที่มีปัญหาอาหารไม่ย่อยก็ได้
สำหรับสารอาหารในมะละกอนั้น มีดังต่อไปนี้

เนื้อมะละกอสุก
สารอาหารปริมาณสารอาหารต่อมะละกอสุก 100 กรัม
โปรตีน0.5 กรัม
ไขมัน0.1 กรัม
แคลเซียม24 มิลลิกรัม
ฟอสฟอรัส22 มิลลิกรัม
เหล็ก0.6 มิลลิกรัม
โซเดียม4 มิลลิกรัม
ไทอะมีน0.04 มิลลิกรัม
ไรโบฟลาวิน0.04 มิลลิกรัม
ไนอะซิน0.4 มิลลิกรัม
กรดแอสคอร์บิก (วิตามินซี)70 มิลลิกรัม

สรรพคุณของมะละกอ สรรพคุณของมะละกอมีมากมายนัก ใช้เป็นยาสมุนไพรรักษาโรคได้ 1. แก้อาการขัดเบา ใช้รากสด (1 กำมือ) 70-90 กรัม รากแห้ง 25-35 กรัม หั่นต้มกับน้ำ กรองดื่มเฉพาะน้ำ วันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 1 ถ้วยชา(75 มิลลิลิตร) ดื่มก่อนอาหาร
2. เป็นยาระบายอ่อนๆ การกินเนื้อมะละกอสุก ช่วยเป็นยาระบายอ่อนๆ เพราะไปช่วยเพิ่มจำนวนกากไยอาหาร ดังนั้นเนื้อผลสุกมะละกอจะช่วยระบายอ่อนๆ แก้ท้องผูก
สรรพคุณ มะละกอ :
ผลสุก - เป็นมีสรรพคุณป้องกัน หรือแก้โรคเลือดออกตามไรฟัน เป็นยาระบาย
ยางจากผลดิบ - เป็นยาช่วยย่อยโปรตีน ฆ่าพยาธิได้
รากมะละกอ - ขับปัสสาวะ แก้ขัดเบา
ใช้เป็นยาระบาย :ใช้ผลสุกไม่จำกัดจำนวน รับประทานเป็นผลไม้
เป็นยาช่วยย่อย: 1. ใช้เนื้อมะละกอดิบไม่จำกัด ประกอบอาหาร เช่น ส้มตำ แกง เป้นผักจิ้ม 2. ยางจากผลดิบ หรือจากก้านใบ ใช้ 10-15 กรัม หรือถ้าเป็นตัวยาช่วยย่อย เพราะในยางมะละกอมีสารที่เรียกว่า Papain
เป็นยากัน หรือแก้โรคลักปิดลักเปิด โรคเลือดออกตามไรฟัน: ใช้มะละกอสุกรับประทานเป็นผลไม้ ให้วิตามินซีสูง
เท้าบวม: เอาใบมะละกอสดตำให้แหลกผสมกับเหล้าขาว ใช้พอกเท้าที่บวมลดอาการบวมลงได้
แก้เคล็ดขัดยอก: ใช้รากมะละกอสดตำให้แหลกผสมเหล้าโรงพอก
โดนหนามตำหรือหนามหักคาเนื้อใน: ให้บ่งปากแผลเปิดออก เอายางมะละกอดิบใส่หนามจะหลุดออก
คันเพราะพิษของหอยคัน: ให้ใช้ยางมะละกอดิบทาเช้า-เย็นจนหาย
เมื่อมีอาการปวดตามข้อและหลัง: รับประทานมะละกอสุกเป็นประจำป้องกันและบำบัดโรคปวดข้อปวดหลังได้ ปวดข้อ ปวดกล้ามเนื้อ ไม่มีแรง ใช้รากมะละกอตัวผู้แช่เหล้าขาวให้ท่วมยาไว้ 7 วัน และกรองเอาน้ำใช้ทาแก้ปวดข้อและกล้ามเนื้อเปลี้ยอ่อนแรง ลดอาการปวดบวม ให้เอาใบมะละกอสดย่างไฟหรือลวกกับน้ำร้อนแล้วประคบบริเวณที่ปวด หรือตำพอหยาบห่อด้วยผ้าขาวบางทำเป็นลูกประคบ
ถ้าโดนตะปูตำเป็นแผล: ให้เอาผิวลูกมะละกอดิบตำพอกแผล เปลี่ยนยาวันละ 2 ครั้ง แผลน้ำร้อนลวก ใช้เนื้อมะละกอดิบต้มให้สุกจนเปือย ตำพอกที่แผล แผลพุพอง ใช้ใบมะละกอแห้งกรอบบดเป็นผง ผสมกับน้ำกะทิพอเหนียวข้น ใช้พอกหรือทาที่แผลวันละ 2-3 ครั้ง
แก้ผดผืนคัน: ใช้ใบมะละกอ 1 ใบ น้ำมะนาว 2 ผล เกลือ 1 ช้อนชา ตำรวมกันให้ละเอียดเอาทั้งน้ำและเนื้อทาแผลบ่อยๆ กลาก เกลื้อน ฮ่องกงฟุตหรือเท้าเปือย ใช้ยางของลูกมะละกอดิบทาวันละ 3 ครั้งฆ่าเชื้อราได้
การเกษตรเรื่องพันธุ์มะละกอ
มะละกอมีมากมายหลายพันธุ์ แต่มะละกอเป็นพืชที่มีความไวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม จึงมีอยู่ไม่กี่พันธุ์ที่เหมาะกับสภาพดินฟ้าอากาศของบ้านเรา พันธุ์มะละกอที่นิยมปลูกในบ้านเรามีด้วยกันทั้งหมด 4 สายพันธุ์ คือ
1. พันธุ์โกโก้ มีทั้งก้านใบสีน้ำตาลเข้มหรือสีม่วงเข้มหรือสีเขียวอ่อน พวกที่ก้านสีเขียวอ่อนหรือสีเขียวจะสังเกตเห็นจุดประสีม่วงตามบริเวณลำต้นได้ชัดเจน โดยเฉพาะในขณะต้นอายุไม่มาก พันธุ์โกโก้ เป็นพันธุ์ที่ออกดอกติดผลเร็ว ต้นเตี้ย อวบแข็งแรง มีขนาดผลขนาดเล็กถึงปานกลางผลค่อนข้างยาวผิวเกลี้ยงเป็นมันปลายผลใหญ่ หัวผลเรียว เนื้อแน่นและหนาสีแดงหรือสีชมพูเข้มรสหวานอร่อย
พันธุ์แขกดำ
พันธุ์แขกดำ
2. พันธุ์แขกดำ เป็นพันธุ์ที่ลำต้นอวบแข็งแรง ต้นเตี้ยให้ดอกติดผลเร็ว ก้านใบสีเขียวอ่อน รูปทรงของผลยาวรีสีผลออกสีเขียวแก่หรือสีเขียวเข้ม มีเนื้อหนาแน่น เมล็ดน้อย ผลสุกเนื้อสีแดงเข้มมีรสหวาน
3. พันธุ์สายน้ำผึ้ง ลักษณะต้นเตี้ย ก้านใบยาวกว่าพันธุ์แขกดำ ผลค่อนข้างโตทรงผลป้าน คือด้านขั้วผลเล็กและขยายออกด้านท้ายผล เปลือกผลสีเขียว เมื่อสุกเนื้อออกสีแดงปนส้ม เนื้อหนาเนื้อแน่น มีเมล็ดมากรสหวาน
4. พันธุ์จำปาดะ เป็นพันธุ์ที่มีลำต้นอวบแข็งแรง ออกดอกติดผลช้ากว่าพันธุ์โกโก้และพันธุ์แขกดำ ใบและก้านใบออกสีเขียวอ่อน ผลมีขนาดยาว ผลดิบมีสีเขียวอ่อนผลสุกเป็นสีเหลือง เนื้อค่อนข้างบางกว่าพันธุ์อื่นและเนื้อไม่ค่อยแน่น
มะละกอ

ประโยชน์ของมะละกอ สรรพคุณและการใช้ประโยชน์จากมะละกอ (Papaya)

มะละกอ (Papaya) เป็นผลไม้ไทยที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ประโยชน์ของมะละกอมีมากมายไม่ว่าจะนำมาทำเป็นอาหารเช่น แกงส้มมะละกอ ทำเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรเป็นชามะละกอ หรือแม้แต่นำผลสุกมาปอกกินเล่นก็ยังมีประโยชน์ช่วยให้ขับถ่ายง่ายป้องกันท้องผูก อีกทั้งมะละกอเป็นพืชที่ปลูกง่ายการปลูกมะละกอไม่ต้องการการดูแลมากอาศัยพื้นที่ว่างบริเวณรั้วบ้านก็ใช้เป็นที่ปลูกมะละกอได้แล้วเพียงแต่ต้องคอยระวังอย่าให้มีน้ำท่วมในบริเวณที่ปลูกมะละกอก็พอ ยอมเสียพื้นที่ในการปลูกมะละกอไว้แถวบริเวณบ้านสัก 1-2 ต้นรับรองว่าประโยชน์ของมะละกอที่ได้รับจะคุ้มเกินคุ้มอย่างแน่นอน

มะละกอ (Papaya) เป็นพืชยืนต้น สูงประมาณ 3-4 เมตร ลำต้นตั้งตรง เนื้อลำต้นจะอ่อน ลักษณะผลของมะละกออาจมีรูปร่างทั้งเป็นลูกกลมหรือทรงยาวรีแล้วแต่พันธุ์ของมะละกอ มะละกอที่ยังดิบอยู่เปลือกนอกจะมีสีเขียวพอผลมะละกอสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองออกส้ม มะละกอเป็นพืชที่ไม่ชอบให้มีน้ำท่วมขังเพราะจะทำให้รากเน่าและตายได้ มะละกอเป็นพืชที่นิยมปลูกในบริเวณรั้วบ้านวิธีการปลูกมะละกอทำได้ง่ายเพราะมะละกอเป็นพืชที่ไม่ต้องการการดูแลมากนักและทนต่อความแห้งแล้งได้ดีพอสมควร หากมีต้นมะละกอในบริเวณบ้านระวังอย่าให้น้ำท่วมก็พอ ประโยชน์ของมะละกอสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้เกือบทุกส่วนของต้นเลยทีเดียว

ประโยชน์ของมะละกอ เริ่มจากส่วนที่เป็นใบและยอดของมะละกอนำมาใช้ปรุงอาหารได้ ส่วนของลำต้นมะละกอภายในจะเป็นเนื้อสีขาวครีมลักษณะเนื้อจะอ่อนนุ่มคล้ายกับหัวผักกาดจีนที่เราสามารถนำไปปรุงเป็นอาหารได้เหมือนกันจะเป็นการดองเค็มหรือตากแห้งเก็บไว้กินก็ได้ ประโยชน์ของมะละกอเมื่อใช้ปรุงเป็นอาหารจะมีประโยชน์และคุณค่าทางโภชนาการสูง มีสารอาหารที่สำคัญหลายอย่างเช่น วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินซี (Vitamin A B C) ธาตุเหล็กและแคลเซียม สารอาหารเหล่านี้ล้วนมีประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งสิ้น

ประโยชน์ของมะละกอดิบ ผลดิบของมะละกอที่มีเปลือกสีเขียวนั้นภายในจะมียางสีขาวข้นเรียกกันว่ายางมะละกอ สรรพคุณของยางมะละกอใช้หมักเนื้อทำให้เนื้อนุ่มและเร่งให้เปื่อยเร็วขึ้นเมื่อต้มและหากนำยางมะละกอไปสกัดเป็นเอนไซม์ที่มีชื่อว่าปาเปอีน (Papain Enzyme) สามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอางได้อีกด้วย  ประโยชน์ของมะละกอดิบยังใช้เป็นยาสมุนไพร (Herb) เป็นยาระบายอ่อนๆช่วยในการขับปัสสาวะหรือจะนำผลมะละกอดิบไปทำเป็นเครื่องดื่มสมุนไพรคือ ชามะละกอ ที่มีสรรพคุณในการล้างลำไส้จากคราบไขมันที่เกาะติดอยู่ที่เกิดจากการกินอาหารที่ผัดด้วยน้ำมันเป็นประจำ เมื่อชามะละกอช่วยล้างคราบไขมันที่ผนังลำไส้ออกไปแล้วจะทำให้ระบบดูดซึมสารอาหารทำงานได้เต็มที่

ประโยชน์ของมะละกอที่เห็นอยู่ทุกวันคือการนำไปปรุงเป็นอาหารคือ ส้มตำ (Papaya Salad)  ซึ่งเป็นอาหารพื้นบ้านทางภาคอีสานและเป็นที่รู้จักกันดีทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ  ส่วนผลมะละกอสุกสามารถปอกกินเป็นผลไม้ได้เลย ประโยชน์ของมะละกอที่เป็นผลสุกคือช่วยบำรุงธาตุ ช่วยย่อยอาหารเป็นยาระบายอ่อนๆทำให้ระบบขับถ่ายดีไม่มีอาการท้องผูก ผลมะละกอสุกยังสามารถนำไปทำเป็น น้ำมะละกอ ได้อีกเอนไซม์ปาเปอีน (Papain Enzyme) ที่อยู่ในผลมะละกอจะช่วยลดกรดในกระเพาะอาหารทำให้ลำไส้ทำงานได้ดีขึ้น ประโยชน์ของมะละกอสุกยังมีสารอาหารที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) คือเบต้าแคโรทีนที่มีคุณสมบัติช่วยชะลอวัย บำรุงผิวพรรณ ลดริ้วรอยซึ่งเป็นประโยชน์ของมะละกอในด้านความสวยความงามนั่นเอง

ไม้ไผ่




ไม้ไผ่กับวัฒนธรรม
 
           คนไทยมีชีวิตความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย รักธรรมชาติ ยิ้มแย้มแจ่มใสใจดี รักศิลปะ เสียงเพลงและดนตรี มีนิสัยอ่อนโยนอ่อนน้อมถ่อมตนและสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์และสภาพแวดล้อมได้เป็นอย่างดีมีภูมิปัญญาสามารถนำสิ่งที่ใกล้มือในท้องถิ่นมาประดิษฐ์เป็นเครื่องมือใช้สอยในชีวิตประจำวันได้อย่างสวยงามโดยเฉพาะไม้ไผ่ เป็นวัตถุดิบจากธรรมชาติที่มนุษย์นำมาใช้ประโยชน์โดยตรงหรือแปรรูปให้เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในการดำรงชีวิต คนไทยรู้จักคุ้นเคยและมีความผูกพันอย่างชนิดแยกไม่ออกมาตั้งแต่เกิดจนตาย กลายเป็นวัฒนธรรมสืบทอดกันต่อมา    "ไผ่" เป็นชื่อพันธุ์ไม้พวกหนึ่ง พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ กล่าวว่า ไผ่เป็นชื่อพรรณไม้พวกหนึ่ง ( Bambusa spp.) อยู่ในวงศ์ Graminese เป็นกอ ลำต้นสูง และเป็นปล้องๆ มีหลายชนิดมากกว่า ๑,๒๕๐ ขนิด ๕๐ ตระกูล เช่น ไผ่จีน ไผ่ป่า ไผ่สีสุก ไผ่เลี้ยง ไผ่ดำ เป็นต้น ไม้ไผ่เป็นพันธุ์ไม้ที่มีลักษณะเฉพาะที่แปลกไปจากพืชและพันธุ์ไม้อื่นๆ เพราะแม้ว่าไผ่มีลักษณะที่ควรจะเป็นต้นไม้ แต่ไผ่กลับถูกจัดเป็นหญ้าประเภทหนึ่ง และเป็น "หญ้ายักษ์" เพราะลำต้นสูง กลวงเป็นปล้องๆ หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าใบไผ่คล้ายกับใบหญ้า ไผ่ขยายพันธุ์ด้วยการแตกหน่อ เพราะหนึ่งในร้อยปีไผ่จึงอาจจะออกดอกสักครั้ง และหลังจากออกดอกแล้วก็ตาย ไผ่จะเติบโตอย่างรวดเร็วและจะโตเต็มที่ภายในสองเดือน และจะคงขนาดเช่นนั้นไปตลอดชีวิตของมัน ลำต้นของไผ่จะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางตั้งแต่ ๐.๗ - ๗ นิ้ว สูง ๑ - ๖๐ ฟุต ไผ่ขึ้นได้ทั้งในบริเวณที่มีอากาศอบอุ่นและอากาศเย็นต่ำกว่าศูนย์องศา ไผ่จึงเป็นไม้ที่มีมากในบริเวณเอเซียและแปซิฟิค อเมริกาใต้บางท้องถิ่น
คุณลักษณะพิเศษของ "ไผ่"
           ๑.ไผ่โตเร็วสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ภายในเวลา ๑ - ๔ ปี และใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน ตั้งแต่รากไผ่เป็นสมุนไพรอย่างหนึ่งที่ใช้เป็นยารักษาโรคได้ หนิอไผ่หรือหน่อไม้ใช้ทำอาหาร กาบหรือใบไผ่ใช้ห่ออาหารหรือหมักปุ๋ย กิ่งและแขนงใช้ทำรั้ว ลำต้นใช้ประโยชน์ได้สารพัดอย่าง ตั้งแต่นำมาใช้ปลูกสร้างที่พักอาศัยและแปรรูปเป็นเครื่องจักสานและเครื่องมือเครื่องใช้นานาชนิดจนถึงนำมาใช้เกี่ยวกับความเชื่อและพิธีกรรมต่างๆ ตั้งแต่เกิดจนตาย
           คังนั้นชาวนาจึงมักปลูกไผ่ตามหัวไร่ปลายนา และปลูกไว้รอบๆบ้าน เพื่อใช้เป็นรั้วบ้านและป้องกันพายุ เพราะไม้ไผ่จะลู่ตามลมไม่หักโค่นเหมือนไม้อื่น หากปลูกไผ่ไว้ตามริมแม่น้ำลำคลอง จะช่วยชะลอความเร็วของกระแสน้ำไม่ให้ดินพัวทะลายง่าย นอกจากนี้ไผ่ยังใช้เป็นอาหารในครัวเรือนได้ด้วย
  ไม้ไผ่ที่นำมาทำเป็นที่อยู่อาศัย คุณสมบัติพิเศษของไม้ไผ่ที่สามารถใช้ประโยชน์ได้โดยไม่ต้องแปรรูปและแปรรูป และเป็นไม้ที่มีความคงทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศได้ดี จึงมีการนำไม้ไผ่มาสร้างเป็นบ้านเรือนที่พักอาศัยกันทั่วไป เช่นเรือนไม้ไผ่ในประเทศไทยที่เรียกว่า "เรือนเครื่องผูก" ที่สร้างด้วยไม้ไผ่แทบทั้งหมด ตั้งแต่ใช้เป็นโครงสร้างและส่วนประกอบของบ้านเรือน ได้แก่ ใช้ลำไม้ไผ่เป็นเสา โครงหลังคา และใช้ไม้ไผ่แปรรูปด้วยการผ่าเป็นซีกๆ เป็นพื้นและสานเป็นแผงใช้เป็นฝาเรือน เป็นต้น
         ชาวชนบทที่มีฐานะทางเศรษฐกิจไม่ดีนักมักสร้างเครื่องเรือนผูกเป็นที่อยู่อาศัย เพราะสามารถสร้างได้เองโดยใช้ไม้ไผ่และวัสดุที่มีในท้องถิ่นของตนมาประกอบกันเป็นเรือนที่พักอาศัย รูปแบบของเรือนเครื่องผูกจะแตกต่างกันไปตามความนิยมของแต่ละท้องถิ่นโดยทั่วไปจะใช้ไม้ไผ่เป็นวัสดุหลักในการก่อสร้าง

ไผ่บงหวานเมืองเลย เป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ที่สำคัญอีกชนิดที่น่าให้ความสนใจและจับตามองในวันนี้ด้วยรสชาติที่ผู้คนกำลังนิยมรับประทานและเป็นที่ต้องการของตลาด ลักษณะพิเศษของไผ่ชนิดนี้จะออกหน่อดกมาก มีความหอมกรุ่น เนื้อละเอียด ไม่มีเสี้ยน หวานมัน กรอบ อร่อยคล้ายยอดมะพร้าว รับประทานสดได้ ไม่มีขื่นเหมือนไผ่ชนิดอื่นๆ ประโยชน์ของไผ่บงหวานมีหลายอย่างเช่น ทางโภชนาการใช้ประกอบเป็นอาหารได้ทั้งประเภท แกง ผัด ต้ม ลำ ใช้ประโยชน์ในการทำเป็นเครื่องจักสาน ใช้สอยในครัวเรือน ใช้ ทำเป็นทีพักอาศัย เถียงไร่ เถียงนา ทำเป็นค้างในแปลงผัก หน่อนำมารับประทานได้ อีกทั้งให้ความร่มเงา ลดสภาวะโลกร้อนได้อีกด้วย






      ไผ่บงหวาน มีชื่อพื้นเมืองว่า ไผ่หวาน หรือ ไผ่บงหวาน ชื่อทางวิทยาศาสตร์คือ Bambusa Sp. ชื่อวงศ์ Gramineaeพบมากในทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะที่จังหวัดเลย จะพบไผ่หวานที่จัดว่ามีคุณภาพดีที่สุด เป็นไผ่ขนาดเล็กถึงขนาดกลางลักษณะกอหุ้มแน่น ลำต้นมักคดงอ เนื้อในตันไม่กลวงแตกกิ่งประมาณ 2-5 กิ่งตลอดลำ มีเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3-5ซม. สูงประมาณ 5-7 เมตรหน่อของไผ่หวานมีลักษณะเล็ก หน่อมีสีเขียวหนักประมาณ 200-300กรัม
 ไผ่ ( Bamboo ) เป็นทรัพยากรจากป่าที่มนุษย์นำมาใช้ประโยชน์มากที่สุดตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ไผ่เป็นพืชโตเร็วที่มีรอบการตัดฟันสั้นที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับไม้โตเร็วชนิดอื่น ที่ใช้เป็นไม้ปลูกป่าในประเทศไทย นอกจากนี้ไผ่ยังเป็นไม้อเนกประสงค์ที่ทุกส่วนของไผ่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งหมด เช่น หน่อไผ่ใช้ในการบริโภค ตัวอย่างได้แก่หน่อไผ่ตง ไผ่รวก ไผ่ไร่ ไผ่หมาจู๋ ไผ่ลุ่ยจู๋ และไผ่มันหมู เป็นต้น เหง้าไผ่ ( rhizome ) ใช้ทำเครื่องประดับตกแต่งบ้าน ใบไผ่บางชนิดใช้ห่ออาหาร ลำไม้ไผ่สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างกว้างขวาง เช่น ทำเครื่องจักสาน ก่อสร้าง ไม้ค้ำยัน เครื่องดนตรี ทำเยื่อกระดาษ ไม้อัด และการผลิตถ่านจากไผ่ในรูปของ bamboo activated charcoal
             นอกจากนี้ ส่วนต่าง ๆ ของไผ่สามารถทำเป็นยารักษาโรคได้ ตัวอย่างเช่น ใบใช้ปรุงเป็นยาขับระดู ยอดไผ่สามารถทำเป็นยาขับปัสสาวะ รากใช้เป็นยาแก้ไตพิการและเป็นยาขับ เป็นต้น สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การปลูกไผ่เป็นการช่วยฟื้นฟูสภาพแวดล้อมให้กลับสู่ความอุดมสมบูรณ์ ช่วยฟื้นฟูสภาพดิน นอกจากนี้ป่าไผ่ยังมีความสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตหลากหลายในพื้นที่ เช่น การดำรงชีวิตของปลวก การสร้างสวนเห็ดราในพื้นที่ป่าไผ่ การเกิดของเห็ดที่รับประทานได้มีราคาแพง เช่น เห็ดโคน รวมถึงการสร้างสมดุลของระบบนิเวศให้กลับคืนสู่ประเทศไทยที่ปัจจุบันมีพื้นที่ป่าลดน้อยถอยลงอย่างต่อเนื่องทุกปี
             สถานีวิจัยกาญจนบุรี หมู่ 9 ตำบลวังด้ง อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี ตระหนักถึงความสำคัญของไผ่ซึ่งจังหวัดกาญจนบุรีเป็นจังหวัดหนึ่งในอดีตที่มีป่าไผ่อันอุดมสมบูรณ์ แต่ปัจจุบันเหลือพื้นที่ป่าไผ่น้อยลงมากเนื่องจากการลักลอบตัดไม้ทำลายป่า และการตายของป่าไผ่ในธรรมชาติเนื่องจากการออกดอก สถานีฯ
จึงได้รวบรวมพันธุ์ไผ่นานาชนิดจากแหล่งต่าง ๆ ของประเทศไทยเพื่อศึกษาลักษณะการเจริญเติบโต การให้ผลผลิตของหน่อสดและลำไม้ที่นำไปใช้ประโยชน์ทั้งนี้ข้อมูลที่ได้จะเป็นพื้นฐานในการส่งเสริมการขยายพื้นที่ปลูกไผ่ในเขตภาคตะวันตกของประเทศไทยต่อไป
            ไผ่เป็นทรัพยากรป่าไม้ที่มนุษย์รู้จักนำมาใช้ประโยชน์มากกลุ่มหนึ่งมาตั้งแต่อดีตกาลโดยเฉพาะคนในชนบท จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “ไม้ซุงของคนจน (The Poor Man‘s Timber)” (Sharma, 1985 อ้างโดย สงคราม, 2532) ไผ่จัดเป็นพืชโตเร็ว (Fast-growing plant) ที่มีรอบตัดฟัน (Harvest Rotation) ที่สั้นที่สุดเมื่อเทียบกับไม้โตเร็วชนิดอื่นที่ปลูกสร้างเป็นสวนป่าและใช้ประโยชน์กันอยู่ในเมืองไทย นอกจากนี้ไผ่ยัง จัดเป็นไม้เอนกประสงค์ (Multi-purpose species) ทุกส่วนของไผ่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งสิ้นทั้งทางตรงและทางอ้อม ประโยชน์ทางตรง อาทิเช่น หน่อไผ่ใช้ในการบริโภคได้มากกว่า 25 ชนิด ที่นิยมและแพร่หลายในประเทศไทย เช่น ไผ่ตง ( Dendrocalamus asper ) ไผ่ไร่ ( Gigantochloa albociliata) ไผ่รวก (Thyrsostachys siamensis) ไผ่หมาจู๋ (D. latiflorus) และ ไผ่ลุ่ยจู๋ ( Bambusa oldhamii Munro.) เป็นต้น


            หน่อไม้ไผ่เป็นอาหารสำคัญที่นอกจากจะใช้บริโภคภายในประเทศแล้ว ส่วนหนึ่งได้มีการส่งไปจำหน่ายยังต่างประเทศในรูปของผลิตภัณฑ์ต่างๆเช่น หน่อไม้อัดปีบ หน่อไม้แห้ง หน่อไม้สดแช่แข็ง หน่อไม้อัดกระป๋อง เป็นต้น ปริมาณการส่งออกผลิตภัณฑ์หน่อไม้ดังกล่าวมีแนวโน้มที่สูงขึ้นทุกปี เนื่องจากความต้องการของตลาดต่างประเทศสูง และการผลิตที่เป็นอยู่ในปัจจุบันไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด
           ปัจจุบันมีการปลูกสวนไผ่ตงเพื่อการผลิตหน่อไม้สดส่งโรงงานในเขตจังหวัดกาญจนบุรีและปราจีนบุรี และได้มีการนำพันธุ์ไผ่ลุ่ยจู๋และหมาจู๋ ซึ่งเป็นไผ่จากประเทศไต้หวันที่ใช้บริโภคหน่อสดเข้ามาทดสอบปลูกในเขตจังหวัดปราจีนบุรีและกาญจนบุรี พบว่าสามารถเจริญเติบโตและให้ผลผลิตได้ดี โดยเฉพาะไผ่พันธุ์ลุ่ยจู๋ให้หน่อที่มีรสชาติหวานมาก เนื้อละเอียด กรอบ มีเสี้ยนน้อย (นิศารัตน์และคณะ, 2540) เหง้าไผ่ (rhizome) ใช้ทำเครื่องประดับตกแต่งบ้าน ใบของไผ่บางชนิดใช้ห่ออาหาร เช่นขนมบ๊ะจ่าง ลำไม้ไผ่ใช้ประโยชน์ได้กว้างขวางมาก เช่น ทำเครื่องจักสาน ก่อสร้าง ไม้ค้ำยัน เครื่องดนตรี เยื่อกระดาษ ไม้อัด และอื่น ๆ
           ที่นิยมมากในปัจจุบันคือการผลิตถ่านจากไผ่ในรูป Bamboo Activated Charcoal โดยถ่านชนิดนี้สามารถดูดซับกลิ่น สี ก๊าซ ฝุ่นละออง สารอินทรีย์และสารอนินทรีย์บางชนิด สารปนเปื้อนในน้ำและอากาศ สารนิโคตินในบุหรี่ สารเรดิโอแอคทีฟบางตัวเช่น xenon และ krypton ซึ่งปนเปื้อนในระบบระบายอากาศโรงงานที่ใช้พลังงานนิวเคลียร์เป็นต้น ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนผลิตถ่านไม้ไผ่ส่งขายในประเทศต่าง ๆ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา ประมาณ 70,000 ตันต่อปี ประเทศญี่ปุ่นประมาณ 50,000 ตันต่อปี (Anonymous, 2000) จะเห็นได้ว่าการศึกษาวิจัยการใช้ประโยชน์จากถ่านไม้ไผ่เป็นอีกทางหนึ่งที่สามารถนำไปสู่การผลิตในเชิงอุตสาหกรรมได้ ในอนาคตนอกจากนี้การผลิตถ่านไม้ไผ่ ยังมีผลพลอยได้จากการเผาถ่านไม้ไผ่ ได้แก่ น้ำส้มควันไม้ ซึ่งมีประโยชน์ในการใช้ป้องกันกำจัดแมลงศัตรูพืช การนำไปใช้ประโยชน์เป็นยารักษาโรค การใช้ประโยชน์ในด้านเครื่องสำอางบำรุงผิว เป็นต้น
           ส่วนประโยชน์ในทางอ้อมของการปลูกไผ่ เช่น การปลูกไผ่ไว้ริมตลิ่งป้องกันตลิ่งพังเนื่องจากการกัดเซาะพังทลาย หรือการปลูกไผ่ไว้ตามหัวไร่ปลายนาหรือรอบๆ ที่อยู่อาศัยเพื่อใช้เป็นแนวชะลอความเร็วของลม (wind-break) ป้องกันพืชผลที่ปลูกไม่ให้ถูกทำลายโดยแรงลม และที่สำคัญที่สุดคือประโยชน์จากการช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และเพิ่มปริมาณก๊าซออกซิเจนในบรรยากาศ จากกระบวนการสังเคราะห์แสง ซึ่งไผ่สามารถสังเคราะห์แสงได้จากทั้งส่วนที่เป็นใบซึ่งมีพื้นที่ผิวใบจำนวนมาก รวมไปถึงจากส่วนผิวของลำไผ่ซึ่งมีสีเขียวก็ช่วยในการสังเคราะห์แสงได้เช่นกัน การปลูกสวนไผ่นอกจากจะได้รับประโยชน์ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ป่าไผ่ยังช่วยลดภาวะโลกร้อนซึ่งเป็นปัญหาที่ทุกประเทศในโลกนี้ต้องช่วยกันไม่ให้เกิดภาวะวิกฤต


            ในปัจจุบันนี้วัตถุดิบที่เป็นไม้ไผ่ส่วนใหญ่ได้มาจากพื้นที่ป่าธรรมชาติแทบทั้งสิ้น มีน้อยมากที่มาจากการปลูกสร้างสวนป่าไผ่แล้วตัดฟันออกมาใช้ประโยชน์ ซึ่งการเก็บเกี่ยวผลผลิตของไผ่ออกจากป่าธรรมชาติที่กระทำกันอยู่ในปัจจุบันโดยเฉพาะหน่อและลำไผ่นั้นไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการที่ต้องมีการใช้ทรัพยากรธรรมชาติให้เกิดประโยชน์สูงสุดและยั่งยืน (sustainable use) การเก็บเกี่ยวผลผลิตในลักษณะดังกล่าวจะส่งผลให้มีการเก็บเกี่ยวผลผลิตที่เกินกำลังผลิตของป่า (over carrying capacity) ส่งผลให้ไผ่ในธรรมชาติไม่สามารถฟื้นตัวได้ทัน การส่งเสริมให้ราษฎรปลูกสวนป่าไผ่ (Bamboos Plantation) เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบเองโดยไม่ต้องไปรบกวนธรรมชาตินั้นก็ยังไม่มีผลการศึกษาวิจัยที่เป็นรูปธรรมชัดเจนที่จะมาสนับสนุนว่าไผ่ชนิดไหนควรปลูกในพื้นที่บริเวณใดที่จะเหมาะสม และนำไปใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอะไร ต้นทุนในการผลิตเป็นอย่างไร ฯลฯ ซึ่งงานวิจัยลักษณะดังกล่าวควรจะเร่งกระทำโดยด่วนที่สุด
           ปัญหาเรื่องไผ่ในประเทศไทยนั้นจริงๆแล้วสืบเนื่องมาตั้งแต่ที่เรายังไม่ทราบถึงข้อมูลพื้นฐานที่แน่ชัดเลยว่าในประเทศไทยนั้นมีไผ่จำนวนกี่สกุล (genera) กี่ชนิด (species) กันแน่ ซึ่งถ้าทราบข้อมูลดังกล่าวเราสามารถเลือกชนิดพันธุ์ที่เหมาะสมที่สุดมาเป็นวัตถุดิบในการผลิต การทำโครงการวิจัยในเรื่องสวนรวมพันธุ์ไผ่จะทำให้ได้ตัวอย่างชนิดพันธุ์ของไผ่ที่ถูกต้องแน่นอนตามหลักอนุกรมวิธาน และสามารถศึกษาวิจัยเพื่อ ให้ทราบถึงชนิดพันธุ์ที่เหมาะสมที่จะปลูกในพื้นที่เพื่อการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกต่อไป รวมถึงการศึกษาการขยายพันธุ์ ระยะปลูกที่เหมาะสม อัตราการเจริญเติบโต กำลังผลิต รอบตัดฟัน ฯลฯ ปัญหาหลักอีกประการหนึ่งคือการส่งเสริมและเผยแพร่ความรู้สู่เกษตรกร หรือผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งที่ผ่านมาอาจมีการกระทำกันบ้างแต่ไม่จริงจัง และขาดความต่อเนื่อง ทำให้ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร การส่งเสริมการปลูกไผ่ให้กับเกษตรกรน่าจะเป็นประโยชน์กับเกษตรกร เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนในชุมชน เป็นผลดีต่อสภาพแวดล้อมและเกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติทั้งทางตรงและทางอ้อม สมควรที่รัฐบาลน่าจะสนับสนุนอย่างจริงจังต่อไป
ความสำคัญและประโยชน์ของไผ่
            ไผ่เป็นพืชที่จัดอยู่ในวงศ์เดียวกับหญ้าทั่วๆไป คือวงศ์ Poaceae (Gramineae) โดยอยู่ในเผ่า (Tribe) Bambuseae แต่นักพฤกษศาสตร์บางท่านก็จัดให้ไผ่อยู่ในวงศ์ Bambusaceae ด้วยเหตุผลที่ว่า มีลักษณะบางอย่างแตกต่างออกไปจากหญ้าทั่วๆไป เช่น มีเนื้อไม้ มีก้านใบเด่นชัด ส่วนใหญ่แล้วส่วนต่างๆของดอกมีจำนวนเท่ากับสาม เป็นต้น (เต็ม และ ชุมศรี, 2512)


            ไผ่จัดเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญชนิดหนึ่งเป็นพืชเอนกประสงค์ที่สามารถพบได้ในส่วนต่างๆ ของโลกบริเวณเขตร้อนและเขตกึ่งร้อน มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่พบในเขตหนาว ไผ่ที่พบในเขตต่างๆ ของโลกมีประมาณ 1,200 ชนิด (species) จากจำนวน 70 สกุล (genera) (Zhou, 2000) ซึ่งประเทศไทยอยู่ในเขต tropical จัดได้ว่าเป็นศูนย์กลางของความหลากหลายของไผ่ (center of diversity of bamboos) แห่งหนึ่งของโลก (Dransfield and Widjaja, 1995) ด้วยเหตุนี้น่าจะทำให้ประเทศไทยเราได้เปรียบประเทศอื่นในการที่จะนำไผ่มาใช้ประโยชน์ทั้งในด้านการเกษตรและอุตสาหกรรมเพื่อการพัฒนาประเทศได้
         ไผ่เป็นพืชที่นำมาใช้ประโยชน์อย่างมากมาย จำแนกได้ดังนี้ (สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม, 2529)
  1. ช่วยในการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ป้องกันการพังทลายของหน้าดินตามริมฝั่งแม่น้ำ เป็นแนวกันลมพายุ ชะลอความเร็วกระแสน้ำอันเกิดจากน้ำท่วม ให้ความร่มรื่น ใช้ประดับสวน สถานที่พักผ่อนหย่อนใจต่างๆ
  2. ประโยชน์ของไม้ไผ่จากลักษณะทางฟิสิกส์ จากความแข็งแรง ความเหนียว การยืดหด ความ
    สามารถดัดโค้ง การคืนตัวสปริงตัวได้ดี ใช้แทนเชือกมัดสิ่งของ ใช้เสริมคอนกรีตเป็นส่วนต่างๆ ของอาคารบ้านเรือนแบบประหยัด
  3. ประโยชน์จากลักษณะทางเคมี เนื้อไม้บดทำเป็นเยื่อกระดาษ เส้นใยใช้ทำไหมเทียม สกัดสารเคมีทำยารักษาโรคหลายชนิด ใช้ในอุตสาหกรรมนานาชนิด
  4. ผลิตภัณฑ์หัตถกรรมและอุตสาหกรรม ในอดีตการใช้ประโยชน์จากไผ่ยังขาดการแนะนำส่งเสริมโดยนักวิชาการสู่ชาวบ้านหรือเกษตรกรทำให้การใช้ประโยชน์จากไผ่นั้นไม่เกิดประโยชน์สูงสุดและทำให้ทรัพยากรไผ่ ซึ่งส่วนใหญ่นำออกมาจากป่านั้นเสื่อมโทรมลงทุกวัน เช่น การเก็บเกี่ยวผลผลิตลำไผ่สดที่ได้ประมาณตันเศษๆต่อไร่ ในขณะที่เกณฑ์ทั่วไปควรจะได้ถึง 3 ตันต่อไร่ (อนันต์, 2532) การใช้ประโยชน์จากหน่อ จัดได้ว่าไผ่ตงเป็นไผ่ที่ได้รับความนิยมสูงสุด นอกจากนี้ยังมีไผ่รวก ไผ่บง ไผ่หวานเมืองเลย ไผ่หมาจู๋ ไผ่ลุ่ยจู๋ ฯลฯ ก็ได้รับความนิยมบริโภคหน่อเช่นกัน กรมป่าไม้ได้จัดแบ่งไผ่ตงไว้ 5 พันธุ์ คือ ไผ่ตงหม้อหรือตงใหญ่ ไผ่ตงดำหรือตงจีนหรือตงกลาง ไผ่ตงเขียว ไผ่ตงหมู และไผ่ตงลาย นอกจากนี้ไผ่ตงจากไต้หวันอีก 2 ชนิด คือไผ่หมาจู๋ (Dendocalamus latiflorus) และไผ่ลุ่ยจู๋(Bambusa oldhamii) นิยมบริโภคหน่อสดและนำมาแปรรูปเนื่องจากมีลักษณะเด่นคือ รสชาติหวานกรอบ เนื้อละเอียด สามารถต้มได้ทั้งเปลือก นำมาแปรรูปเป็นหน่อไม้แห้งได้ดีเพราะเวลาต้มจะไม่เปื่อยยุ่ยง่ายและไม่เหม็นหืนเหมือนหน่อไม้แห้งที่ทำจากไผ่ตงในบ้านเรา ข้อได้เปรียบอีกประการคือไผ่ตงไต้หวันไม่มีขนบริเวณข้อปล้องหรือกาบหุ้มหน่อ ไม่ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง ชนิดของไผ่ที่รู้จักการนำมาใช้ประโยชน์อยู่หลักๆในประเทศไทยนั้นมีอยู่ประมาณ 10 ชนิดเท่านั้น ได้แก่ ไผ่ตง ไผ่รวก ไผ่นวล ไผ่สีสุก ไผ่ป่า ไผ่เลี้ยง ไผ่รวกดำ ไผ่ซาง ไผ่ข้าวหลาม และไผ่ไร่ (Pattanavibool, 2000) ในอนาคตหากเรายังคงบริโภคไผ่ในลักษณะนี้อาจทำให้ไผ่บางชนิดโดยเฉพาะชนิดที่นิยมใช้ประโยชน์กันมากอาจสูญพันธุ์ไปจากประเทศไทยได้ นอกจากนี้การตัดลำและหน่อโดยปราศจากการจัดการและการอนุรักษ์ที่ดีพอ ประกอบกับการแพร่พันธุ์ตามธรรมชาติมีข้อจำกัดอยู่มาก ทั้งจากสภาพแวดล้อม เช่น ภัยธรรมชาติ สัตว์ป่า หรือการบุกรุกทำลายป่าโดยมนุษย์ รวมทั้งสภาพสรีระของไผ่ที่ออกดอกไม่แน่นอน ติดเมล็ดน้อย อัตราการงอกไม่แน่นอน เช่นไผ่ตง (ปรานอมและคณะ,2541) ทำให้ป่าไผ่ธรรมชาติเสื่อมโทรมอย่างรวดเร็ว ไผ่บางชนิดอาจสูญพันธุ์ไปได้ถ้าไม่มีการรวบรวมพันธุ์ และจำแนกพันธุ์ที่ชัดเจน ถูกต้อง
           การขยายพันธุ์ไผ่สามารถทำได้ทั้งแบบการใช้เพศ ไม่ใช้เพศ รวมถึงการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช การขยายพันธุ์แบบการใช้เพศ (sexual propagation) ได้แก่การเพาะเมล็ด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของไผ่ บางชนิดติดเมล็ดน้อย บางชนิดติดเมล็ดมาก และขึ้นอยู่กับอัตราการงอกของไผ่แต่ละชนิดด้วย การขยายพันธุ์แบบไม่ใช้เพศ (vegetative propagation) เป็นวิธีหลักที่นิยมใช้กันทั่วไปได้แก่ วิธีการแยกกอ แต่ต้องระมัดระวังไม่ทำให้กอแม่เกิดบาดแผล การขยายพันธุ์วิธีนี้ได้ปริมาณต้นพันธุ์น้อยและไม่สะดวกในการขนส่งเพื่อนำไปปลูก นอกจากนี้ยังสามารถขยายพันธุ์ได้โดย การตัดชำลำ ตัดชำแขนง เป็นต้น มีผู้ศึกษาการขยายพันธุ์แบบตัดชำลำและแขนงของไผ่พันธุ์หมาจู๋ แต่ผลที่ได้ยังมีเปอร์เซ็นต์ต่ำมากประมาณ 1.33 – 10.7 % (กลุ่มเกษตรสัญจร,2531 และสมปอง,ไม่ปรากฏปีที่พิมพ์)
          การจัดการปลูกสร้างสวนไผ่ที่ประสบความสำเร็จต้องเริ่มตั้งแต่ การเลือกพื้นที่ปลูก การคัดเลือกพันธุ์ที่เหมาะสมต่อสภาพพื้นที่ สภาพอากาศ การได้ต้นพันธุ์ที่มีคุณภาพจากวิธีการขยายพันธุ์ที่ถูกต้อง การเตรียมหลุมปลูก ฤดูกาลปลูก วิธีการปลูกและระยะปลูกที่ถูกต้อง การปฏิบัติดูแลรักษา การตัดแต่งไว้ลำ จำนวนลำต่อกอตามอายุไผ่ การขุดหน่อที่ถูกวิธี การคลุมโคนเพื่อผลิตหน่อที่มีคุณภาพ เป็นต้น ทั้งนี้การศึกษาต้นทุนการผลิต ผลตอบแทนในแต่ละปีเป็นสิ่งจำเป็นในการศึกษาวิจัย เพื่อเป็นคำตอบให้แก่เกษตรกรและกลุ่มบุคคลเป้าหมายผู้ปลูกไผ่ในอนาคต

วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

กล้วย

           ประวัติกล้วย
           ในเอกสารโบราณกล่าวว่า  กล้วยเป็นผลไม้ของชาวอินเดีย  พบมีอยู่มากในแถบเอเชียตอนใต้  โดยเฉพาะทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย  พม่า  เขมร  จีนตอนใต้  หมู่เกาะอินโดนีเซีย  เกาะบอร์เนียว  ฟิลิปปินส์  และไต้หวัน
กล้วยในประเทศที่กล่าวถึงนั้น  เป็นกล้วยป่าที่ขึ้นเองตามธรรมชาติ  ซึ่งต่อมาเมื่อมนุษย์สังเกตเห็นว่าสัตว์ต่างๆ  กินกล้วยเป็นอาหารได้  มนุษย์จึงลองกินกล้วยดู  และเมื่อเห็นว่ากล้วยกินเป็นอาหารได้  มนุษย์จึงเริ่มรู้จักวิธีการขยายพันธุ์โดยใช้เมล็ด  หน่อ  ติดตัวไปยังสถานที่ที่อพยพไป  ทำให้กล้วยแพร่หลายไปยังถิ่นต่างๆ  มากยิ่งขึ้น  จนมีผู้กล่าวว่า  กล้วยเป็นอาหารชนิดแรกของมนุษย์  และเป็นพืชชนิดแรกที่มีการปลูกเลี้ยงไว้ตามบ้าน
ในพระพุทธศาสนา  มีการวาดภาพต้นกล้วยในงานจิตรกรรม  ในภาพวาดเป็นการนำกล้วยไปสักการะพระเจ้ากาละ
จีนโบราณมีการบันทึกไว้ว่า  มีกล้วยอยู่  12  ชนิด  ได้แก่  ปารู  กัน-เชียว  ยาเชียว  ปาเชียว  นันเชียว  เทียนเชียว  ชีเชียว  ชุงเชียว  เมเจนเชียว  โปโชวเชียว  ยังเชียวเชียว  ยูฟูเชียว  กล้วยเหล่านี้ปลูกมากที่กวางตุ้ง  ฟูเกียง  ฯลฯ
กล้วยมีเส้นทางการเผยแพร่ราวกับนิยาย  เมื่อประมาณ  ปี  ค.ศ.200  บริเวณเมดิเตอร์เรเนียนยังไม่มีการปลูกกล้วย  จนถึง  ค.ศ.650  เมื่อชาวอาหรับเดินทางติดต่อค้าขายกับแอฟริกา  พวกอาหรับได้นำกล้วยมาเผยแพร่ที่แอฟริกาด้วย
ในราวศตวรรษที่  15  เมื่อชาวยุโรปเดินทางไปยังดินแดนต่างๆ  เพื่อ  การสำรวจและแสวงหาดินแดนใหม่  ณ  เวลานั้นปรากฏว่า  แถบชายฝั่งของแอฟริกาตะวันตก  ประชาชนนิยมปลูกกล้วยกันอย่างแพร่หลาย
การเดินทางของกล้วยมิได้หยุดอยู่แค่นั้น  เพราะในปี  ค.ศ. 1400  ชาวโปรตุเกสซึ่งเป็นนักเดินเรือผู้เก่งกล้าสามารถได้นำกล้วยไปยังหมู่เกาะคานารีด้วย
ปัจจุบันหมู่เกาะคานารีเป็นแหล่งปลูกกล้วยที่สำคัญแห่งหนึ่งของโลก  หมู่เกาะนี้ในเวลาต่อมาได้รับการยกย่องว่าเป็นเกาะประวัติศาสตร์ของการแพร่พันธุ์กล้วยสู่โลกใหม่

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้เคยมีการสำรวจสายพันธุ์กล้วยในประเทศไทย  พบว่ามีสายพันธุ์กล้วยในประเทศไทยมากถึง 323  สายพันธุ์






ความเป็นมาของกล้วยในประเทศไทย
      ในตอนแรกได้กล่าวไปบ้างแล้วว่า  กล้วยเป็นพืชเก่าแก่ที่อยู่คู่กับคนไทยมานานแสนนาน  และโดยทางประวัติศาสตร์แล้ว  ประเทศไทยของเราเป็นประเทศที่ตั้งอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ซึ่งถือว่าเป็นถิ่นกำเนิดสำคัญของกล้วยป่าขึ้นชุกชุม
กล้วยที่ถือว่าเป็นพันธุ์ดั้งเดิมของไทย เป็นกล้วยที่ขึ้นอยู่ในบริเวณภาคใต้ของไทย  ได้แก่  กล้วยไข่ทองร่วง  กล้วยเล็บมือนาง  เป็นต้น
ประเทศไทยมีกล้วยหลากหลายพันธุ์  และสันนิฐานกันว่า  คนไทยเป็นชนชาติที่อพยพมาจากจีนตอนใต้  ซึ่งจีนตอนใต้นี้มีอาณาเขตอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย   ดังนั้นการอพยพของคนไทยจึงเป็นไปได้ว่าได้นำพันธุ์กล้วยที่เป็นสายพันธุ์จากอินเดียและจีนนำติดตัวมาด้วย  ทั้งนั้นเพราะกล้วยเป็นพืชที่ปลูกง่ายให้ผลเร็ว  เหมาะสำหรับนำติดตัวปลูกไว้เป็นอาหารยามขาดแคลน





            กล้วยเป็นผลไม้ยอดนิยมจึงรู้จักในคนหมู่มาก ซึ่งแน่นอนว่า กล้วยต้องเป็นที่โปรดปรานของใครหลายคน เพราะกล้วยนั้นจะมีรสหอมหวานอร่อย มีประโยชน์มากมาย
นอกจากกล้วยจะเป็นที่รู้จักกันในคนหมู่มากแล้วยังมีความเป็นมาที่ยาวนานโดยกล้วยนั้นมีถิ่นกำเนิดในเอเชียใต้ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีวิวัฒนาการกว่า 50 ล้านปีและได้แพร่พันธุ์ไปในสถานที่ต่างๆหลายๆที่ด้วยกัน ในปัจจุบันนี้กล้วยได้มีมากที่สุดใน
ประเทศอินเดียและได้ลงในหนังสืออาหรับว่า“กล้วเป็นผลไม้ของชาวอินเดีย”ด้วย
ส่วนประกอบต่างๆของกล้วย ได้แก่
ลำต้น ส่วนของลำต้นที่อยู่ใต้ดิน จะเรียกว่าหัว หรือ เหง้า ที่หัวจะมีตา และเจริญเติบโตเป็น หน่อ
ดอก จะมีลักษณะเป็นช่อๆ ในแต่ละช่อจะมีกลีบประดับ หรือกาบปลี จะมีสีม่วง กลุ่มดอกเพศเมียไว้อยู่ที่โคน และกลุ่มดอกเพศผู้อยู่ที่ปลายเป็นส่วนที่เรา เรียกว่าหัวปลี
ผล เกิดจากดอกเพศเมียที่อยู่ที่โคน กลุ่มดอกเพศเมีย 1 กลุ่ม จะได้ 1หวี แต่ก็ต้องแล้วแต่พันธุ์ด้วย
เมล็ด มีลักษณะเม็ดกลมเล็ก บางพันธุ์จะมีขนาดเล็กเปลือกหนา แข็ง มีสีดำ
ราก จะเป็นระบบรากฝอย ลักษณะเป็นแนวดิ่ง
ใบ จะมีความกว้างประมาณ 70-90 เซนติเมตร และยาวประมาณ 1.7-2.5 เมตร ปลายใบมีลักษณะมน รูปใบขอบขนาน และมีสีเขียว
กล้วยมีหลากหลายพันธุ์ด้วยกัน คนจึงคิดว่ายุ่งยาก และสามารถจดได้ยาก จึงนำมาจัดเป็นกลุ่ม 5 กลุ่ม ได้แก่
กล้วยป่าออร์นาตา มักจะปลูกตามแนว ตอนเหนือของไทยจะเรียกกล้วยบัวหรือ กล้วยป่าก็ได้
กล้วยป่าอะคิวมินาตา จะมีแพร่หลายทั่วประเทศไทย
กล้วยในสายพันธุ์อะคิวมินาตา คัลทิปาร์จะมีหลากชนิด เช่น กล้วยเล็บมือนาง
กล้วยป่าบาลบิเซียน่า หรือกล้วยตานี กล้วยพองลา กล้วยป่าจะเรียกกันตามท้องถิ่น
กล้วยลูกผสมอะคิวมินาตากับบาลบิเซียน่าจะมีหลายชนิดจะอยู่มากในภาคใต้ของไทย
ส่วนต่างๆของกล้วยนั้นยังจะสามารถนำมารับประทานได้ทั้งสิ้นและจะให้ประโยชน์ สามารถบรรเทาโรคต่างๆได้ด้วย ในแต่ละส่วนนั้นจะให้ประโยชน์ ได้แก่
ผลกล้วยสุก ช่วยการล่อลื่น เป็นยาระบาย
ผลกล้วยดิบ เป็นยาสมาน
ราก ช่วยขับน้ำเหลืองที่เสียและเป็นยาระบาย
น้ำคั้นจากต้น กันผมร่วง ทำให้ผลหนาขึ้น
น้ำจากก้านใบ แก้โรคท้องเสีย แก้บิด
ช่อดอก รักษาโรคเบาหวาน
แป้ง ช่วยลดกรด
หยวกกล้วย ล้างทางเดินอาหาร
กล้วยนั้นยังสามารถนำมาแปรรูปเป็น กล้วยตาก กล้วยเชื่อม กล้วยแขก ยำหัวปลี กล้วยทอดกรอบ กล้วยบวชชี กล้วยแดดเดียว แกงเลียงหัวปลี เป็นต้น
กล้วยมีวิวัฒนาการมานานหลายปี มีหลากหลายสายพันธุ์ ทั้งที่เรารู้จักบ้าง ไม่รู้จักบ้าง หลายๆคนคิดว่ากล้วยสามารถนำมาใช้ได้เฉพาะผลเท่านั้น แต่ไม่ใช่เลย เราสามารถนำส่วนต่างๆของกล้วยมาทำประโยชน์ได้มากมาย ทั้งในพิธีกรรมต่างๆ และนำมารับประทาน จึงกล่าวได้ว่า กล้วยเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง

การขยายพันธุ์กล้วย
กล้วยเป็นพืชที่ขยายพันธุ์ง่าย  สะดวก  และไม่มีขั้นตอนยุ่งยากซับซ้อนแต่อย่างใด
เดิมทีเดียวการขยายพันธุ์กล้วยทำได้  2  วิธี  ได้แก่
1.การขยายพันธุ์โดยเมล็ด
2.การขยายพันธุ์โดยหน่อ
1.การขยายพันธุ์โดยเมล็ด
เป็นวิธีธรรมชาติดั้งเดิมของการขยายพันธุ์กล้วยที่มีเมล็ดมากอย่างกล้วยตานีและกล้วยน้ำว้าบางพันธุ์
การขยายพันธุ์โดยเมล็ดนี้  แต่เดิมชาวสวนจะนำเมล็ดแก่จากผลกล้วยที่แก่เต็มที่มาเพาะ  แต่เนื่องจากเมล็ดกล้วยมีเปลือกที่หนามากทำให้การเพาะเมล็ดต้องใช้เวลานานตั้งแต่  1-4  เดือน  จึงจะงอกให้เห็นต้นอ่อน  ทำให้การขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ดค่อยๆ  เสื่อมความนิยมลงไปจนเกือบไม่มีชาวสวนคนใดใช้วิธีขยายพันธุ์กล้วยโดยวิธีการเพาะเมล็ดอีกแล้ว  นอกจากนี้นักวิชาการที่เพาะเมล็ดเพื่อการศึกษาค้นคว้า
2.การขยายพันธุ์โดยใช้หน่อ
ใช้หน่ออ่อน  (Peepers)หน่ออ่อน  ในนี้หมายถึง  หน่อที่มีอายุน้อยและมีขนาดเล็ก  ลักษณะของหน่อ  ใบเป็นใบเกล็ด  อยู่เหนือผิวดิน  (ปัจจุบันวิทยาการเจริญก้าวหน้า  พบว่า  หน่ออ่อนไม่เหมาะสำหรับการขยายพันธุ์)
ใช้หน่อใบดาบ  (Sword  Suckers)หน่อใบดาบ  หมายถึง  หน่อกล้วยที่เกิดจากตาของเหง้าหน่อใบนี้ลักษณะใบจะเรียวเล็กและยาวเหมือนมีดดาบ  (บางคนเรียกหน่อใบแคระ)  หน่อมีความสูงประมาณ  75-80  เซนติเมตร  มีเหง้าติดอยู่เหมาะสำหรับการขยายพันธุ์  เพราะจะเจริญเติบโตแข็งแรงและให้ผลผลิตดี
ใช้หน่อแก่  (Median Suckers)
หน่อแก่  หมายถึง  หน่อที่เจริญเติบโตมาจากหน่อใบดาบใบจะแผ่กว้าง
วิธีดูว่าหน่อกล้วยใดเป็นหน่อแกให้นับอายุ  ในกรณีนี้หน่อแก่  หมายถึง  หน่อที่มีอายุประมาณ  5-8  เดือน
ใช้หน่อใบกว้าง  (Water Suckers)
หน่อใบกว้าง  หมายถึง  หน่อที่เกิดจากตาของเหง้าแก่หรือจากเหง้าที่ไม่สมบูรณ์  ใบจะแผ่กว้างขณะที่หน่อยังมีอายุน้อย  ซึ่งหน่อใบกว้างจะเกิดก็ต่อเมื่อต้นแม่ออกเครือและตัดเครือแล้ว  หน่อชนิดนี้จริงๆแล้วไม่เหมาะที่จะนำไปขยายพันธุ์  เพราะจะให้ผลขนาดเล็กลง
ขนมกล้วย
ส่วนผสม (ได้ 35 ถ้วยตะไลเล็ก)
กล้วยน้ำว้า               2          ถ้วย
แป้งข้าวเจ้า             1          ถ้วย
แป้งข้าวเหนียว       4           ช้อนโต๊ะ
แป้งมัน                   8          ช้อนโต๊ะ
กะทิข้นๆ                1           ถ้วย
(มะพร้าว 400 กรัม ใส่น้ำ 1/2 ถ้วย)
น้ำตาลทราย            1          ถ้วย
เกลือป่น                   1/2     ช้อนชา
มะพร้าวทึนทึกขูด    1/4     ถ้วย
(สำหรับใส่ตัวขนม)
มะพร้าวทึนทึกขูด   3/4      ถ้วย
(สำหรับโรยหน้าขนม)
เกลือ                       1/4     ช้อนชา

วิธีทำ1.ปอกกล้วย หั่นหยาบๆ แล้วตวง นำไปบด
2.ผสมแป้งทั้ง 3 ชนิดลงในกล้วยเคล้าให้เข้ากันใส่น้ำตาล เกลือ นวด 10 นาที
3.คั้นกะทิข้นๆ ค่อยๆ ใส่ในกล้วยนวด 20 นาที นวดให้เหนียว ใส่มะพร้าว
4.ตักใส่ถ้วยตะไล ถ้วยละ 20 กรัม โรยด้วยมะพร้าวทึนทึก นำไปนึ่ง 30 นาที

ลักษณะที่ดี

1. หวาน มัน
2. เหนียวนุ่ม ไม่แข็งกระด้าง
3. ถ้าใช้ใบตองห่อ รูปทรงการห่อจะต้องห่อทรงเตี้ยกว่าขนมสอดไส้

เคล็ดที่ไม่ลับ

การนวด ถ้ามีเครื่องปั่นน้ำผลไม้ก็
    สามารถใช้ปั่นด้วยเครื่องได้ โดยปั่นกล้วยก่อนแล้วใส่แป้ง น้ำตาล กะทิ
    ปั่นต่ออีก 2 นาที หยุด 1/2 นาที ปั่นเช่นนี้ 4 ครั้งแล้วเทใส่ภาชนะผสม
    คนอีก 20 นาที ดูลักษณะเวลาคนจะมีความข้นขึ้น จะทำให้ขนมกล้วยเหนียว อร่อย
2.ควรเลือกกล้วยสวนจะหวานกว่า
3.ควรคั้นกะทิให้ข้นๆ
4.การขูดมะพร้าวทึนทึกควรขูดให้เส้นเล็กละเอียด
5.ควรเลือกกล้วยที่สุกงอมจะได้รสหวาน ไม่ฝาด
6.การนึ่งให้นานจะเพิ่มความเหนียว และสีจะเข้มขึ้น

ประเพณีสารทไทยกล้วยไข่เมืองกำแพงประวัติความเป็นมา  จังหวัดกำแพงเพชรเป็นจังหวัดที่นิยมปลูก กล้วยไข่กันมาก จนกลายเป็นพืชผลเศรษฐกิจทำรายได้เข้าจังหวัดปี หนึ่งๆ ประมาณ 100 ล้านบาท ทำให้ “กล้วยไข่” ที่ชาวสวนทั่วไป มองเป็นผลไม้พื้นๆ กลายเป็นของมีราคาขึ้น มาทันที และทำให้กำ แพงเพชรเป็นเมืองที่มีฉายาว่า “เมืองกล้วยไข่” โด่งดังไปทั่วประ เทศ แรกเริ่มทีเดียวนั้นเล่ากันว่าเมื่อ 60 ปีมาแล้ว ได้มีการปลูกสวน กล้วยไข่กันก่อนที่บ้านเกาะตาล ตำบลแสนตอง อำเภอขาณุลักษบุรี โดยชาวจีนชื่อนายหะคึ้ง แซ่เล้า นำพันธุ์กล้วยไข่จากนครสวรรค์มา ปลูก ต่อมาได้มีการขยายพันธุ์ออกไปตามท้องที่อำเภอต่างๆ ในที่สุด ไปปลูกมากในเขตอำเภอเมือง เนื่องจากมีสภาพดินฟ้าอากาศเอื้ออำ นวยในการเพาะปลูกถึงขั้นนี้จึงได้มีการรวมกลุ่มเพื่อขยายตลาดให้กว้างเพียงพอต่อผลผลิตทั้งตลาดในประ
เทศและต่างประเทศได้ให้ความสนใจในกล้วยไข่เมืองกำแพงเพชร
1.ขนมกล้วยจะเหนียวหรือไม่ขึ้นอยู่กับ

วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

กล้วยน้ำว้า

ประโยชน์ของกล้วยน้ำว้า

   
กล้วยดิบมีสาร Tannin, Pectin ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยฝาดสมานรักษาอาการท้องเดินมีสาร Sarotomin, Norepine-Phrine, Depamin, Catecholamine, Sitoin Doside. I,IV ซึ่งสามารถป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหารช่วยให้แผลปิดสนิท

กล้วยสุกมีสาร Essential Oil และ Organic Acid อีกหลายชนิด


ประโยชน์ด้านอาหาร ไส้ในกล้วยหรือที่เรียกว่าหยวก ที่ยังไม่ออกเครือ ใช้แกงส้ม แกงกะทิ ทานสด หรือต้มแล้วราดด้วยกะทิ ทานกับน้ำพริกขนมจีนน้ำยา ผลดิบใช้แกงป่า แกงกะทิ หรือนำมาเป็นส้มตำ ผลสุกทานเป็นผลไม้ หัวปลีใช้ทานสดหรือต้มทานกับน้ำพริก


สรรพคุณทางยาและวิธีใช้

 
1.ใช้ยาง ผลดิบ ผลสุก หัวปลี ใบ ราก ซึ่งสามารถเก็บได้ตลอดปี
รักษาอาการท้องเสียที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ โดยใช้ผลดิบตากแห้งบดเป็นผง แล้วชงน้ำร้อนดื่ม โดยใช้ผลดิบครั้งละ 1 ผล
ดื่มวันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหารและก่อนนอน

   2. ป้องกันและรักษาแผลในกระเพาะอาหาร โดยใช้ผลดิบปอกเปลือกตากแห้ง บดเป็นผงทานครั้งละ 1-2 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำผึ้งหรือน้ำอุ่น 1 ช้อนโต๊ะ หรือชงน้ำร้อนดื่ม ก่อนอาหารและก่อนนอน ทุกวันจนกว่าจะหาย
   3. แก้อาการท้องผูก ใช้กล้วยน้ำว้าสุกซึ่งฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ ทานผลสุกครั้งละ 2 ผลวันละ 3 ครั้งก่อนอาหารครึ่งชั่วโมงและควรเคี้ยวให้ละเอียด
  4. ช่วยขับน้ำนม โดยใช้หัวปลีทำแกงเลียงทานบ่อยๆ หลังคลอดใหม่ๆ

ข้อควรระวังในการใช้ กล้วยน้ำว้าดิบอาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ต้านอาหารบวม เป็นพิษต่อตับ ลดคอเลสเตอรอล

ประโยชน์อื่นๆ ใบตองใช้ทำพานบายศรี ทำกระทง ใช้มวนยาสูบ กาบใช้มัดสิ่งของแทนเชือกได้
วิธีใช้รักษาอาการท้องเสีย
กล้วยดิบรักษาอาการท้องเสียที่ไม่รุนแรง โดยใช้กล้วยน้ำว้าห่าม รับประทานครั้งละครึ่งผลถึงหนึ่งผล หรือใช้กล้วยน้ำวาดิบฝานเป็นแว่นตากแดดให้แห้งบดเป็นผง ชงน้ำดื่มครั้งละครึ่งถึงหนึ่งผล หรือบดเป็นผงปั้นเป็นยาลูกกลอนรับประทานครั้งละ 4 เม็ด วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหารและก่อนนอน

ข้อควรระวัง
รับประทานแล้วอาจมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ป้องกันได้โดยใช้ร่วมกับยาขับลม เช่น น้ำขิง พริกไทย เป็นต้น

วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2554

วันพ่อ

ความเป็นมาวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวา ( วันพ่อ )
วันเฉลิมพระชนมพรรษา


         5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทางราชการได้กำหนดให้เป็นวันหยุดราชการหนึ่งวัน เพื่อให้ประชาชนชาวไทย ได้ร่วมกันเฉลิมฉลองในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ ถือเป็นวันพ่อแห่งชาติ อีกวันหนึ่งด้วย วันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความเป็นมาของวันสำคัญ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ โรงพยาบาล เมาท์ ออเบิร์น นครบอสตัน สหรัฐอเมริกา โดยนายแพทย์วิทท์มอร์ เป็นผู้ถวายการประสูติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 9 แห่งบรมจักรีวงศ์ กรุงรัตนโกสินทร์ ทรงประกอบพระราชกรณียกิจและเจริญพระราชจริยาวัตรเป็นเอนกประการ จำเนียรกาลผ่านมาถึงปัจจุบันที่สุดจะพรรณนาให้ครบถ้วนได้ ท่ามกลางมหาสมาคมวันพระราชพิธีพระบรมราชาภิเษก ทรงมีกระแสพระราชดำรัสที่พสกนิกรทุกคนยังจดจำได้ "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม" อันคำว่าโดย "ธรรม" นั้น ทรงหมายถึง ธรรมอันล้ำเลิศที่เรียกว่า "ทศพิธราชธรรม" หรือที่เรียกกันโดยสามัญว่า "ราชธรรม 10 ประการ" ราชธรรม 10 ประการนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยึดมั่นทรงปฎิบัติโดยเคร่งครัด และส่งผลถึงพสกนิกรทั่วพระราชอาณาจักรนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเหนือเกล้าฯ

         วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริ่เริ่ม หลักการและเหตุผลในการจัดตั้งวันพ่อ โดยที่พ่อเป็นผู้มีพระคุณที่มีบทบาทสำคัญ ต่อครอบครัวและสังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนตอบแทนพระคุณด้วยความกตัญญู และสมควรที่สังคมจะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปีซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็น "วันพ่อแห่งชาติ" ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกรชาว ไทยอย่างนานัปการ ทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดา ทรงรักใคร่และห่วงใยตั้งแต่พระเยาว์จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งพระเจ้าหลานเธอทุกพระองค์ต่างซาบซึ้งและปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณ อย่างมิรู้ลืม พระองค์ทรงเป็น "พ่อ" ตัวอย่างของปวงชนชาวไทยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณา ทรงห่วงใยอย่างหาที่เปรียบมิได้

กิจกรรม ที่ควรปฎิบัติในวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
1.ประดับธงชาติ ที่อาคารบ้านเรือน
2.จัดพิธีศาสนสงฆ์ ทำบุญใส่บาตร อุทิศเป็นพระราชกุศล น้อมเกล้าฯ ถวายพระพรชัยมงคล
3.จัดกิจกรรมเกี่ยวกับการบำเพ็ญสาธารณประโยชน์เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล
วัตถุ ประสงค์ของการจัดวันพ่อแห่งชาติ
1. เพื่อเทิดทูนพระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
2. เพื่อเทิดทูนพระคุณของพ่อ และยกย่องบทบาทของพ่อที่มีต่อครอบครัวและสังคม
3. เพื่อให้ลูกได้แสดงความกตัญญูต่อพ่อ
4. เพื่อให้ผู้เป็นพ่อได้สำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอบของตน



เพลง เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เพลง "พ่อแห่งแผ่นดิน"
เพลงเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐

(หญิง)
อัครศิลปิน กรองศาสตร์ กรองศิลป์ การดนตรี
ร้อยกรอง บทกวี ซึ้งกมล
ตราบฟากฟ้า ครึ้มฝน ต้นไม้ทุกต้น พลอยยินดี
รู้รักสามัคคีเพื่อพ่อแห่งไทย
(ชาย)
เหล่าประชา คารวะ สดุดี
แผ่นดินนี้ มีสุข ด้วยองค์ พระทรงชัย
บรรดาชาติชน ชื่นชม สมใจ
ถวายบังคม เทิดไท้ ภูมิพลมหาราชา
(หญิง)
ภักดีถวาย ดวงใจ ของไทยทั้งชาติ
มหาราช ปราดเปรื่อง เรื่องของกีฬา
(ชาย)
ล้ำเลิศสื่อสาร พลังงานแทนแก้ปัญหา
ฝนหลวง ฟ้าห่วงชาวนา
ชาติไทย นับว่าโชคดี
(ชาย - หญิง)
ทรงนำเศรษฐกิจ พอเพียง หล่อเลี้ยงชีวา
เป็นปรัชญา เกริกฟ้า ก้องปฐพี
ไทยทั้งผอง ภูมิใจ ไทยเป็นไทยจนวันนี้
เพราะองค์ภูมิพลที่ คุ้มครองไทย

คำร้อง :ชาลี อินทรวิจิตร - อาจินต์ ปัญจพรรค์ - สุนทรียา ณ.เวียงกาญจน์ - สุรพล โทณะวณิก
ทำนอง :เรืออากาศตรี ศ.พิเศษ ดร.แมนรัตน์ ศรีกรานนท์ - วิรัช อยู่ถาวร
พิมพ์ปฏิภาณ พึ่งธรรมจิตต์ - จิรวุฒิ กาญจนะผลิน